ลดความอ้วนด้วยการรับประทานผลไม้

ผักนั้นอาจจะมีรสชาติที่จืดชืดและไม่อร่อยสำหรับใครหลายๆคนยิ่งเมื่อไม่นำไปปรุงรสชาติให้ดีขึ้น เช่น ทำเป็นสลัดผัก หรือนำไปทำเป็นเครื่องเคียงประกอบอาหารจานหลัก แต่สำหรับผลไม้นั้นเราสามารถกินเปล่าๆ ได้โดยที่ไม่ต้องนำไปปรุงกับอะไรเลย อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากมีวิตามินเยอะ แต่ผลไม้บางชนิดก็มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะผลไม้สุก ไม้ว่าจะเป็น มะมวง มะละกอ ซึ่งผลไม้เหล่านี้เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน แต่ความหวานในผลไม้ยังให้ปริมาณน้ำตาลน้อยกว่าขนมหรือของหวานอยู่มาก

แม้ว่าการกินผลไม้จะเป็นวิธีการลดความอ้วนที่ได้ผล แต่เราก็ควรเลือกชนิดของผลไม้ให้เหมาะสม โดยการพิจารณาจากปริมาณน้ำตาลในผลไม้ หรือแป้งที่ผสมอยู่ในผลไม้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การกินผลไม้ลดความอ้วนย่อมให้ผลดีต่อร่างกายแน่นอน

1. ฝรั่ง
ผลไม้ราคาถูก หาซื้อหาย และมีปริมาณวิตามินซีสูง รสชาติอร่อย เหมาะเป็นผลไม้กินระหว่างลดความอ้วน ฝรั่ง 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานประมาณ 240 กิโลแคลอรี่เท่านั้น

2. แตงโม
บางคนอาจจะกลัวการกินแตงโมเพื่อการลดความอ้วน เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างจะให้รสหวาน แต่ในความเป็นจริงนั้น แตงโมเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่น้อย แตงโม 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานเพียง 60 กิโลแคลอรี่เท่านั้น ซึ่งแตงโมลูกใหญ่ ก็จะหนักประมาณ 2 กิโลกรัม

สาเหตุที่แตงโมเป็นผลไม้ที่สามารถใช้ลดความอ้วนได้ดี ก็เพราะเป็นผลไม้ที่มีน้ำมาก ประมาณ 97% ของส่วนประกอบทั้งหมด แต่ก็มีข้อเสียก็คือทำให้หิวเร็ว และปัสสาวะบ่อยๆ

3. ส้ม
คนไทยเรามักจะคุ้นเคยกับผลไม้ประเภทส้มเป็นอย่างดี และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบการกินส้ม ทั้งชนิดที่เป็นผลสด และน้ำส้มคั้น ซึ่งการกินส้มให้ได้ประโยชน์จริงๆ ควรกินทั้งกาก เพราะจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย แม้ส้มจะมีรสชาติอร่อยแต่ก็ถือเป็นผลไม้ที่มีความหวานพอสมควร ส้ม 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานประมาณ 340 กิโลแคลอรี่ ซึ่งถือว่าค่อนข้างมากสักหน่อยสำหรับการลดความอ้วน ฉะนั้นถ้าเราเลือกส้มเป็นผลไม้ที่กิน เพื่อลดความอ้วน ก็ไม่ควรกินเกินวันละ 2 กิโลกรัม

4. ชมพู่
ชมพู่เป็นผลไม้ที่มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์ก็มีรสชาติ และความหวานอร่อยที่แตกต่างกันออกไป ในเรื่องของการควบคุมน้ำหนัก แน่นอนว่า เราจะต้องเลือกชมพู่พันธุ์ที่หวานน้อยที่สุด เพื่อที่จะให้พลังงานน้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ

ชมพู่ที่หวานไม่มากไม่น้อยจนเกินไป 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานประมาณ 120 กิโลแคลลอรี่ แต่ไม่ควรกินเกินวันละ 6 กิโลกรัม

5. ผลไม้อื่นๆ
ความจริงก็ยังมีผลไม้ชนิดอื่นที่กินลดความอ้วนเหมือนกัน แม้ว่าผลไม้ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้จะเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างจะให้พลังงานสูง แต่เราก็สามารถจะนำมากินได้ในปริมาณที่พอดี เพราะนี่คือหัวใจสำคัญของการลดความอ้วนโดยไม่อดอาหาร เพียงแต่ต้องควบคุมปริมาณอาหารทุกประเภทไม่ให้มากเกินไป เช่นเดียวกับการกินผลไม้ลดความอ้วน

ผลไม้ที่จะยกมากล่าวในข้อ 5 ก็คือ "กล้วย"
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีเกลือแร่ต่างๆเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงนอกจากให้พลังงานแล้ว ยังให้สารอาหารอื่นๆกับร่างกายของเราอีกด้วย

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

มะละกอช่วยลดความอ้วน

มะละกอเป็นผลไม้ที่มีวิตามินหลายชนิด นอกจากกินสดๆแล้ว ยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้ด้วย  เช่น ส้มตำ และ แกงส้มใส่มะละกอ และประโยชน์หลักๆของมะละกอที่รู้จักกันดี คือ ช่วยขับสารพิษของเสียออกจากร่างกาย กำจัดไขมันต่างในร่างกาย เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่จะช่วยย่อยโปรตีนและย่อยอาหาร เมื่อร่างกายย่อยอาหารและขับถ่ายได้ดี จึงช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่ง

ในด้านผิวพรรณ ความงาม มะละกอก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสน เพราะมะละกอมีวิตามินซี และเบตาแคโรทีนสูง หากกินเป็นประจำทุกวันจะช่วยบำรุงผิวพรรณได้ แม้ข้อเสียของมะละกอ คือ ความหวาน เพราะมีปริมาณน้ำตาลสูง แต่ในทางกลับกัน มะละกอกลับมีไขมันน้อยมาก จนเรียกได้ว่าแทบไม่มีเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเราจึงกินมะละกอระหว่างลดความอ้วนได้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ชอบผลไม้รสหวาน อาจจะไม่ชอบกินมะละกอเท่าใดนัก

นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่คนลดความอ้วน ชอบกินมะละกอ เพราะ มะละกอหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และเมื่อแช่เย็นนั้นก็จะเพิ่มความอร่อยขึ้นเป็นอย่างมาก ยิ่งคนที่กำลังลดความอ้วนแต่อยากกินของหวานๆ มะละกอนี่แหละจะเป็นตัวช่วยให้คุณได้อย่างดี

วิธีทำสลัดมะละกอ

1.มะละกอ 1 ลูก นำเมล็ดออก ปอกเปลืก และหั่น
2.มะม่วง 1 ลูก นำเมล็ดออก ปอกเปลือก และหั่น
3.สับปะรด ปอกเปลือก และหั่น 2 ชิ้น
4.เสาวรส 2 ลูก ตักเอาแต่เนื้อ น้ำส้มคั้น 2 ช้อนโต๊ะ
5.นำเครื่องปรุงทั้ง 3 อย่างแรกใส่ชาม
6.นำเนื้อเสาวรสที่ผสมกับน้ำส้ม ราดบนสลัด คลุกเคล้าให้ทั่ว
หมายเหตุ : ปริมาณส่วนประกอบสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับความชอบของแค่ละคน

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

กาแฟลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนักในปัจจุบันมีอยู่หลากหลายวิธี ตั้งแต่การลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย ลดน้ำหนักด้วยการกินผักและผลไม้ หรือลดน้ำหนักโดยการรับประทานผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆที่มีอยู่มากมายตามท้องตลาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กาแฟลดน้ำหนัก” ที่เป็นทางเลือกหนึ่งของคนที่อยากลดน้ำหนัก เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก และประหยัด อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบสำหรับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว

กาแฟกับการลดน้ำหนัก
กาแฟปกติทั่วไป ก็จะมีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันในตัวเองอยู่แล้ว แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้คุณผอมขึ้นในทันทีทันใด แต่ปัจจุบันผู้ผลิตอาหารลดน้ำหนักต่างพยายามใส่ส่วนผสมเข้าไป อาทิ สมุนไพรต่างๆที่มีสรรพคุณในการเพิ่มการเผาผลาญเพื่อให้กาแฟเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญให้ได้มากที่สุด หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นก็จะเป็นสารที่มีสรรพคุณเป็นยาลดความอ้วน เช่น สารไซบูทรามีน

วิธีการสังเกตว่ากาแฟลดน้ำหนักที่กินอยู่แอบผสม สารไซบูทรามีน เข้าไปด้วยหรือไม่ ให้ดูจากสรรพคุณข้างกล่องที่ฟังดูแล้วเกินจริง และอาการภายหลังกินเข้าไป คือ มีอาการใจสั่นมาก  รู้สึกหวิวๆ ไม่สบาย ตามมาด้วยไม่อยากกินอาหาร โดยอาการจะเกิดภายหลังรับประทานเพียง 1-2 แก้ว ซึ่งอาการเหล่านี้จะหนักกว่าการกินกาแฟปกติทั่วๆไป หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดกินทันที

สารไซบูทรามีน คืออะไร
คือสารที่เป็นส่วนประกอบของยาลดความอ้วน ที่ตอนนี้องค์การอาหารและยา ได้ประกาศยกเลิกตำรับยาแล้ว เพราะมีอันตรายที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ยี่ห้อการค้าในท้องตลาดคือ รีดัคทิล (Reductil)

แต่อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงกาแฟปกติทั่วไปที่ไม่ใช่กาแฟลดน้ำหนัก การดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว

ข้อดีของการดื่มกาแฟเป็นประจำ (กาแฟปกติทั่วไป)
1.ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
2.ช่วยป้องกันโรคหอบซึ่งเป็นอาการของภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง
3.ช่วยลดการเกิดโรคตับจากสุรา
4.ช่วยป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งในช่องปาก เพราะกาแฟมีประสิทธิภาพป้องกันโรคขั้นต้น โดยเฉพาะในคาเฟอีนที่มีกรดอะซิติก ที่ช่วยป้องกันโรค
5.การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยกาแฟลดอัตราคอเลส-เตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ
6.ช่วยละลายไขมัน เพราะกาแฟที่ทานหลังอิ่มอาหาร ช่วยให้ไขมันแตกตัว และให้พลังงานทดแทนจึงลดความอ้วนได้
7.กาแฟเพิ่มไขมันชนิดดีให้ร่างกาย ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตามผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จะมีไขมันชนิด (HDL) เพิ่มขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้จะขับไล่คอเลสเตอรอลออกไป ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
8.ช่วยแก้ปวดศีรษะ กาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด และยังช่วยขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเมาสุราได้
9.ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมองและสมรรถภาพสมอง มีผู้เชี่ยวชาญสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาว่า ความหอมของกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น นั้นเป็นเพราะกลิ่นกาแฟ ทำให้เลือดไหลเวียนในสมองเพิ่มขึ้น
10.ดื่มกาแฟเล็กน้อยทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว หากได้ดื่ม กาแฟเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ คาเฟอีน ในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

แอปเปิ้ลช่วยลดความอ้วน

แอปเปิ้ล (Apple) จัดเป็นผลไม้ลดความอ้วน/ลดน้ำหนักยอดนิยมชนิดหนึ่งของโลก  ผลของแอปเปิ้ลจะมีหลายสี อาทิ แอปเปิ้ลแดง แอปเปิ้ลเขียว และแอปเปิ้ลเหลือง ซึ่งสีของแอปเปิ้ลจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของมัน

คุณค่าทางโภชนาการของแอปเปิ้ล

ถ้ากินโดยไม่ปอกเปลือก แอปเปิ้ลจะให้พลังงานประมาณ 80 แคลอรี  อีกทั้งยังประกอบได้ด้วยเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุและวิตามินอีกหลายชนิด เช่น

- วิตามินบี6 ประมาณ 0.1 มิลลิกรัม
- วิตามินซี ประมาณ 7.9 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก ประมาณ 0.2 มิลลิกรัม
- ทองแดง ประมาณ 0.1 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม ประมาณ 158.7 มิลลิกรัม

เส้นใยหรือไฟเบอร์ที่มีอยู่ในแอปเปิ้ล จะเป็นเส้นใยชนิดที่ละลายน้ำได้ เรียกว่า เพคติน ที่ประกอบด้วยกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนี้ยังพบสรรพคุณที่ช่วยบำรุงหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

การกินแอปเปิ้ลให้ได้รับคุณค่าทางโภชนาการสูงสุดจึงควรกินทั้งเปลือก เพราะถ้าหากกินโดยปอกเปลือกปริมาณเส้นใยและสารเหล่านี้ก็จะลดลงไปด้วย

ทำไมจึงกินแอปเปิ้ลเพื่อลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน
เนื่องจากในแอปเปิ้ลมีคาโบร์ไฮเดรตและน้ำตาลถึง 75%  ซึ่งน้ำตาลในแอปเปิ้ลเป็นโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง แต่แอปเปิ้ลสดเท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้

จุดเด่นของแอปเปิ้ล แบ่งตามสี

1.แอปเปิ้ลแดง มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด ให้พลังงานสูง มีรสหวาน
2.แอปเปิ้ลเขียว มีรสอมเปรี้ยว นิยมกินในช่วงลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน เพราะมีปริมาณน้ำตาลน้อย จึงช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี
3.แอปเปิ้ลเหลือง มีประโยชน์ต่างจากสีอื่นๆ เพราะมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

หากให้วิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่างๆเปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง จะพบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

ออกกำลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหาร

1.เตรียมตัวออกกำลังกาย
ต้องวอมอัพร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง  อาจใช้วิธีเดิน บิดตัวไปมา หรือ ยื่นเส้นยืดสาย โดยปกติแล้วการวอมร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 5 - 10 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆได้มากขึ้น และเป็นการป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย

2.เริ่มต้นออกกำลังกาย
คนที่เริ่มต้นออกกำลังกายควรใช้วิธีเดินไม่ควรวิ่ง  เนื่องจากการเดินจะทำให้คุณไม่เหนื่อยมาก  และไม่ปวดกล้ามเนื้อหลังจากออกกำลังกาย การเดินเหมาะสำหรับคนอ้วน หรือคนที่พึ่งเริ่มออกกำลังกาย  ส่วนการวิ่งจะเป็นการออกกำลังกายสำหรับคนที่ได้เริ่มออกกำลังกายมาซักพักแล้ว  เพราะการวิ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว และทำให้เหนื่อยมาก

เมื่อออกกำลังกายเป็นประจำไปได้ซักระยะหนึ่งแล้ว หากท่านต้องการเพิ่มความฟิตให้กับร่างกายก็สามารถทำได้  โดยควรเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่ชอบและสะดวกที่สุด  ทั้งนี้ในการออกกำลังกายครั้งแรกๆไม่ควรที่จะหักโหมมากนัก  โดยสามารถสังเกตอาการขณะออกกำลังกายว่า คุณออกกำลังกายหักโหมไปหรือเปล่า โดยสังเกตจากอาการต่อไปนี้
1.หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย
2.หอบ หายใจไม่ทันจนพูดไม่เป็นประโยค
3.เหนื่อยจนหน้ามืด อยากจะเป็นลม
หากมีอาการดังกล่าว  คุณหยุดการออกกำลังกายอย่างน้อย 1 - 2 วัน  และลดระดับการออกกำลังกายในครั้งต่อไปลง แต่ไม่ควรหยุดออกกำลังกายเป็นระยะเวลานาน เพราะการออกกำลังกายที่ดี ควรออกอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแล้วก็เลิก

3.หลังออกกำลังกาย
อย่าหยุดออกกำลังกายในทันที!!  เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดควรค่อยๆออกกำลังกายโดยผ่อนกำลังลงประมาณ 5 - 10 นาที  จนกระทั่งหัวใจเต้นช้าลงและเต้นเป็นปกติจึงหยุด หลังจากนั้นให้ดื่มน้ำเพื่อทดน้ำในร่างกายสูญเสียไประหว่างออกกำลังกาย

เมื่อคุณออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

- ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี  เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้มากขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันต่ำ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคข้อเสื่อม เป็นต้น
- ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก การทรงตัว และทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น
- ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยลดความเครียด และทำให้การนอนหลับพักผ่อนดีขึ้น

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

กินเพื่ออยู่ อย่าอยู่เพื่อกิน

การกินเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์จะต้องทำตั้งแต่เกิดจนตาย มันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งของมนุษย์ เพราะถ้าไม่กินก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ แต่ถ้ามีอาหารส่วนเกินมากก็เกิดโรคได้อีกเช่นกัน โดยเฉพาะความอ้วน ดังนั้นคนเราจึงควรกินเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดเท่านั้น คนส่วนใหญ่จะ "กินเพื่ออยู่" และหยุดกินเมื่ออิ่ม แต่บางคนก็ไม่ได้กินเพื่อให้มีชีวิตอยู่แต่เพียงอย่างเดียว ยังต้องการหาความสุขในระหว่างการกินด้วย จุดมุ่งหมายของการกินจึงเปลี่ยนเป็น “อยู่เพื่อกิน” นั่นเอง

แต่ไม่ว่าคุณจะมีพฤติกรรมการกินแบบใด รูปร่างของคุณ คือส่วนสะท้อนพฤติกรรมเหล่านั้น ดังคำพูดที่ว่า "จะอ้วนจะผอมล้วนอยู่ที่ปาก" เพราะความจริงร่างกายมนุษย์ต้องการอาหารไม่มากนัก แค่กินอาหารให้พอดีกับร่างกาย ก็ได้สารอาหารครบถ้วนแล้ว หากคุณกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายคุณก็ต้องมานั่งปวดใจกับตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนัก และยังต้องมานั่งหาวิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินเหล่านั้นออกไปอีก ดังนั้นก็จง "กินเพื่ออยู่" น่าจะดีกว่า แม้การบังคับใจตนเองจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

 แต่ในปัจจุบันก็มีเทคนิกการกินหลายรูปแบบ ที่หลักการที่ว่า "กินอย่างไรไม่ให้อ้วน" เช่น วิธีการกินอาหารแบบ Reversal Diet  ซึ่งก็คือ การกินอาหารอย่างสมดุล โดยลดอาหารที่มีไขมันลง และเปลี่ยนมากินอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดตร และโปรตีนที่ได้จากพืชแทน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมาเป็น "กินเพื่ออยู่" จึงมีความสำคัญกับคนที่มีความตั้งใจที่จะลดน้ำหนัก เพราะถือเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างหนึ่ง วิธีการหลีกเลี้ยงความอ้วนแบบง่ายๆมีดังนี้
1.รับประทานผัก ผลไม้มากๆ
2.หลีกเลี่ยงการทานอาหารทอดๆ และติดมัน
3.ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ก่อนมื้ออาหาร
4.ออกกำลังกายสำคัญสุดๆ
5.หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไดเอท
6.อย่ากักตุนอาหารในตู้เย็น
7.อย่ากินไป ดูทีวีไป
8.ลดน้ำหวาน ชา , กาแฟ , ครีมเทียม
9.อย่าให้รางวัลตัวเองด้วยการไปกินนอกบ้าน
10.อย่าอดอาหารเด็ดขาด
11.แบ่งกินเป็นส่วนๆไม่ต้องกินให้หมด
12.อย่ากินอะไรหลังมื้อเย็นอีก
13.ดื่มนมก็ช่วยลดความอ้วนนะ
14.อ่านฉลากรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ก่อนกินด้วยล่ะ
15.อย่าลืมชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้ง

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

เครื่องดื่มที่ทำให้อ้วนโดยไม่รู้ตัว

ในชีวิตประจำวัน นอกจากอาหารคาว หวานแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เครื่องดื่มประเภทต่างๆ นี่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าเป็นคนที่อ้วนได้ง่ายๆแล้วละก็ เจ้าเครื่องดื่มตัวฉะกาจพวกนี้เนี่ยแหละที่อาจเป็นสาเหตุความอ้วนของคุณ ดังนั้น เราลองมาดูกันดีกว่าว่า มีเครื่องดื่มอะไรบ้างที่คุณมักดื่มมันเป็นประจำ จนทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว

1. เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม 
เครื่องดื่มประเภทนี้ เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะอาหารและยามว่าง ของใครหลายๆคน บางคนถึงกับติดน้ำอัดลมเลยทีเดียว แต่จะมีใครรู้ว่างว่า นอกจากปริมาณน้ำตาลที่มากแล้ว ในน้ำอัดลมยังมีปริมาณแคลลอลี่ถึง 120 แคลลอลี่ ซึ่งนับว่าไม่น้อยเลย แล้วนี่ยังไม่นับกรดคาร์บอนิก สารกันบูด สารแต่งสี แต่งกลิ่นที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายด้วยนะ

2. ชาเย็น นมเย็น โอวัลตินเย็น ช็อกโกแลตเย็น
เครื่องดื่มพวกนี้ ก็จัดเป็นที่โปรดปรานของใครหลายๆคนเช่นกัน แต่ถ้าคุณรู้ปริมาณแคลลอลี่ของมันแล้วละก็ คุณอาจจะเลิกชอบมันไปเลย เพราะพวกมันมีปริมาณแคลลอลี่เฉลี่ย 220 - 400 แคลลอลี่ จริงๆแล้วอะไรก็ตามที่มีรสหวานนั้นก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะด้วยน้ำตาล นมข้นหวาน หรืออื่นๆที่ใส่ลงไป ล้วนแต่ทำให้อ้วนทั้งสิ้น ไม่ใช่เฉพาะกับชาที่ชงสดเท่านั้นนะ แต่ยังรวมไปถึงชาที่บรรจุขวดขายตาม 7-11 หรือห้างสรรพสินค้าด้วย

3. นมถั่วเหลือง
สำหรับนมถั่วเหลืองนี้คงมีสาวๆหลายคนที่ไม่คิดว่าจะมีปริมาณแคลลอลี่ที่มาก แต่ในนมถั่วเหลือง 1 แก้ว จะมีปริมาณแคลอลี่ 150 แคลลอลี่ ซึ่งหากดื่มมากๆ ก็ทำให้อ้วนได้เช่นกัน

4. น้ำผลไม้ปั่น
หากคุณสาวๆ ที่คิดจะดื่มน้ำผลไม้เพื่อรักษาหุ่น ก็คงต้องทบทวนกันใหม่แล้วละค่ะ น้ำผลไม้อาทิ น้ำองุ่น น้ำส้ม น้ำสับปะรด เป็นสามน้ำยอดนิยมที่ให้พลังงานสูงมาก ยิ่งคุณเอามาผลไม้หลายๆอย่างมาปั่นรวมกัน ปริมาณแคลลอลี่ก็ยิ่งมากขึ้น หรือถ้าซื้อแบบที่เขาบรรจุขวดไม่มีเนื้อผลไม้ให้มาด้วย คุณก็จะได้แต่น้ำตาลจนแทบหาประโยชน์อะไรให้สุขภาพไม่ได้เลย เว้นเสียแต่ว่า คุณจะควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละวันไปด้วย

5. กาแฟประเภทต่างๆ
จริงๆแล้วตัวกาแฟเองนั้นมีแคลอรี่ที่น้อยมาก ประมาณ 5 แคลอรี่/8ออนซ์ แต่ด้วยการปรุงแต่งหลายๆ ทั้งใส่น้ำตาล นม ครีม และอื่นๆ แล้ววันๆหนึ่งคุณดื่มไปกี่แก้วกัน? ถึงแม้จะวันละแก้วแต่ในหนึ่งสัปดาห์นั้นคุณก็จะได้ไปทั้งหมดประมาณ 840-1,610 แคลอรี่เลยนะ

6. เครื่องดื่มชูกำลัง
เครื่องดื่มประเภทนี้ เป็นเครื่องดื่มเฉพาะกลุ่ม แต่ถ้าหากใครที่ดื่มเป็นประจำล่ะก็ โปรดรู้ไว้เภอะว่า เครื่องดื่มชูกำลังนั้นอัดแน่นไปด้วยน้ำตาลและคาเฟอีน จนมีแคลอรี่สูงถึง 110-300 แคลอรี่ และมีน้ำตาลถึง 27-55 กรัม (6-13 ช้อนชา) เลยแหละ
 
เห็นแบบนี้แล้ว คุณๆอาจเกิดคำถามว่า "แล้วนี่ชั้นจะดื่มอะไรได้บ้างเนี่ย?" คำตอบก็ง่ายแสนง่าย "น้ำเปล่าดีที่สุด" และถ้าดื่มน้ำเปล่าก่อนรับประทานอาหาร 45 นาที ยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วยนะ เพราะการดื่มน้ำทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดลง ร่างกายจึงเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตามไปด้วยนั่นเอง

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com