7 วิธีเผาผลาญไขมันอย่างได้ผล

หากสาวๆ อยากจะให้รูปร่างสวยเพรียว นอกจากว่าเราจะต้องเอาจริงกับมันแล้ว ยังต้องมีวิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้องซึ่งเรามีวิธีดีๆมาแนะนำดังนี้

1. การจำกัดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ
กินมื้อเช้าให้เยอะที่สุด มื้อกลางนั้นวันรองลงมาจากมื้อเช้า ส่วนมื้อเย็นก็ควรเป็นมื้อที่ทานให้น้อยที่สุด หรือกินแค่ผลไม้หรือสลัดผักสักจานก็พอแล้ว

2. ต้องออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์
แต่ละครั้งไม่ควรที่จะต่ำกว่า 30 นาที สาวๆนั้นควรที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ เพื่อจะให้การเผาผลาญไขมันส่วนเกินนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสลายไขมันได้แล้ว การออกกำลังกายในครั้งต่อๆไปก็จะทำให้กล้ามเนื้อของเรากระชับขึ้นและป้องกันไม่ได้ไขมันหวนคืนมาอีก

3. ต้องงดอาหารที่มีไขมันสูงอย่างเด็ดขาด
วิธีนี้คือวิธีที่จะช่วยลดหน้าท้องได้ดีที่สุด เพราะหน้าท้องของเรานั้นจะเป็นที่แรกที่ร่างกายของเราจะเอาไขมัน ส่วนเกินมาเก็บเอาไว้

4. สำหรับการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักนั้น
เราจะต้องเน้นที่การเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะด้วยถึงจะได้ผลดี เช่น เต้น วิ่ง ว่ายน้ำ แอโรบิก

5. ถ้าหากว่าสาวๆ อยากจะออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อลดหน้าท้อง
ควรจะออกกำลังในตอนเช้าจะได้ผลดีที่สุด เพราะว่าในตอนเช้าเป็นเวลาที่ระบบต่างๆ ในลำไส้กำลังทำงาน ถ้าได้ออกกำลังกายมันก็จะยิ่งเสริมการเผาผลาญบริเวณนี้ได้มากกว่าปกติ

6. ถ้าเราต้องการจะลดหน้าท้องให้ได้ผล
หัวใจหลักๆของหัวข้อนี้ อยู่ที่การทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องของเราได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ถ้าท่าลดหน้าท้องที่คุณเลือกนั้นใช้ทำไม่ได้แบบนี้ ก็แปลว่าท่านั้นเป็นท่าที่ไม่ได้เรืองหรือ ต่อให้ออกกำลังกายอย่างหนักแค่ไหน แต่หน้าท้องของเรานั้นไม่ได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อ ก็เท่ากับว่าเราเสียแรงฟรี

7. ท่าบริหารลดหน้าท้อง
ไม่ว่าเรานั้นจะเลือกทำท่าไหนก็ตาม เราควรที่จะทำไม่ต่ำกว่าเซ็ตละ 15 ที จากนั้นเราก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนเซ็ตขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง 3 เซ็ตใน 1 ครั้ง

Credit >> http://www.shape.in.th

Low Fat หรือ Low Carbohydrate

คุณที่กำลังสงสัยเกี่ยวกับ สูตรลดความอ้วน ด้วยการทานอาหารแบบคาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือไขมันต่ำ แบบไหนดีกว่ากัน? ไม่เห็นจำเป็นต้องเลือกนี่ เราลองเอาข้อดีของสูตรการลดน้ำหนักทั้งสองแบบ มาผสมผสานเข้าด้วยกันดีกว่า

1. เริ่มต้นด้วยการลดน้ำหนักด้วยแนวทางการบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และโปรตีนสูงก่อน

ผลการศึกษาต่างๆ เผยให้เห็นว่า เราสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่าในระยะ 6 เดือนแรกด้วยวิธีนี้

2. ค่อยๆ เพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตลงไปในอาหาร

แนะนำว่าควรเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ดี ซึ่งดูได้ง่ายๆ ก็คือ หลีกเลี่ยงการบริโภคอะไรที่เป็น สีขาว อย่างเช่น น้ำตาลฟอกขาว แป้งขาว หรือเลือกบริโภคธัญพืชที่ไม่ขัดสี มีน้ำตาลต่ำ และไม่มีน้ำตาลแทน

3. ใส่ใจกับปริมาณไขมัน

กับดักสำคัญของการบริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ คือการไม่ระวังในปริมาณไขมัน เพราะอาหารโปรตีนสูงหลายชนิดมักจะมีไขมันสูง ควรเลือกบริโภคโปรตีนที่มีไขมันต่ำ หรือแบบที่ไม่มีไขมันดีกว่า

4. กินผัก ผลไม้ เยอะๆ

เมื่อคุณกำลังเข้าสู่ช่วงต่อของการบริโภคคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น ควรแน่ใจว่าคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่นั้นมาจากผักและผลไม้ ควรกินให้ได้อย่างน้อยวันละ 9 ส่วน หรือประมาณ 4.5 ถ้วยเป็นประจำ

5. อย่ากินแล้วนั่งอยู่เฉยๆ

อย่าลืมว่าอาหารคือพลังงาน อย่ากินแล้วนั่งดูโทรทัศน์ แต่ควรออกไปยืดเส้นยืดสาย ไปเข้าฟิตเนส หรือทำกิจกรรมที่จะช่วยเผาผลาญพลังงานที่คุณบริโภคเข้าไปในร่างกาย

Credit >> http://www.shape.in.th

กล้วยหอมกับการลดน้ำหนัก

ใครกันเล่าจะคิดว่ากล้วยหอมนั้นจะเป็นสุดดยอดแห่งการลดดน้ำหนัก

สูตรลดน้ำหนัก ที่ตกเป็นข่าวดังเมื่อไม่นานมานี้เอง ได้แนะนำให้ กินกล้วยหอมเพียง 1-2 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็นก็สามารถที่จะกินได้ตามปกติ อาจจะเพิ่มอาหารว่างตอนบ่ายสาม และสิ่งสำคัญก็คือ งดของหวานและเข้านอนก่อนเที่ยงคืนดด้วย

“ในทางโภชนาการนั้น สูตรดังกล่าวนั้นสามารถที่จะลดน้ำหนักได้จริง ถ้าเป็นคนที่ไม่ทานอาหารเช้าเลย หรือทานอาหารเช้าที่หนักจนเกินไป” แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้อธิบายความเป็นไปได้

กล้วยหอม 1 ลูก มีน้ำหนักประมาณ 100 กรัมเลยทีเดียว (ไม่รวมเปลือก) และจะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ในกรณีที่เรากินข้าวเช้าตามปกติ เช่น ข้าวมันไก่ 1 จาน ที่จะให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรี ถ้าหากเราเปลี่ยนมากินกล้วยหอมเป็นมื้อเช้าแล้วละก็ เราจะได้แคลอรีน้อยลง ในขณะเดียวกันนั้น ถ้าหากว่ากันตามสูตรก็จะให้กินพร้อมกันกับน้ำเปล่า ทำให้อิ่มเร็วขึ้นไปอีก

สำหรับบุคคลที่ไม่เคยกินข้าวเช้า นักโภชนาการได้บอกเอาไว้ว่า สูตรนี้จะไปช่วยได้อย่างมากเลยทีเดียว เนื่องจากจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ให้ได้รับอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่จะจำเป็นต่อร่างกายและสมองเป็นอย่างมาก

“ในสังคมปัจจุบันนั้น คนเราเร่งรีบจนไม่กินอาหารเช้าหรือบางครั้งดื่มเพียงกาแฟ 1 แก้ว ซึ่งมันส่งผลต่อระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายเป็นอย่างมาก กล้วยหอมนั้นจึงถือเป็นอาหารมื้อเช้า ที่จะช่วยให้ระบบการเผาผลาญพลังงานของคุณนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเลยทีเดียว”

ใน ”กล้วย” นั้นนอกจากที่จะมีคาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์แล้ว ก็ยังมีน้ำตาลทั้งกลูโคส, ฟลุกโตส และซูโคส ที่ช่วยเพิ่มพลังกายและสมองของเรา ให้สามารถนำไปใช้ได้ทันที ทำให้นักโภชนาการต่างมองว่า สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยนี้ จะเป็นที่นิยมกันนานมากกว่ากว่าสูตรอื่นๆๆ เนื่องจากเป็นสูตรที่ง่ายๆ ราคาไม่แพงมากนัก แถมยังอร่อย ทำให้คนไม่ฝืนใจกิน ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้กับกล้วยประเภทอื่น ๆ ได้เช่นกัน เล่น กล้วยไข่ เป็นต้น

นอกจากที่เราจะรับประทานกล้วยแล้ว ข้อห้ามเกี่ยวกับของหวานและการนอน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ดีเหมือนเดิม น.ส.แววตาชี้ว่า ของหวานนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลดน้ำหนัก ในขณะที่การจัดเวลาของว่างช่วงบ่ายสามโมงก็ถือว่าดี จากเดิมที่คนไทยนั้นกินของว่างไม่เป็นเวลา ก็จะช่วยให้นาฬิการ่างกายเรียนรู้ และปรับระบบเผาผลาญในช่วงเวลานั้น ส่วนการนอนก่อนเที่ยงคืนนั้น ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเผาผลาญได้ดีขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม นักโภชนาการได้แนะนำว่า สูตรนี้เหมาะสมกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากว่ากล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมอยู่มาก ในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจืดตำลึง หรือ ข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น

ในขณะเดียวกันนั้น สูตรลดน้ำหนักนี้ก็ไม่เหมาะกับเด็กในวัยเรียนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเด็กวัยเรียนจะต้องการโปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่าง วัน โดยนักโภชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนัก อาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ

นักโภชนาการยังบอกอีกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยเท่านั้นที่สามารถนำไปใช้กับสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นๆนั้นก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แคนตาลูป แอ๊ปเปิ้ล หรือแตงโม เป็นต้น แต่ ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน, ขนุน ที่หวานเกินไปหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด

“สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำ เตือนทุกคนก็คือว่า กล้วย 1 ใบนั้น ไม่ใช่อาหารมหัศจรรย์อะไรที่จะทำให้คนเรานั้นเราผอม สวย สุขภาพดี เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ แต่กล้วยก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ให้คนหันมารับประทานอาหารเช้าซึ่งถือว่าเป็นมื้อที่สำคัญมาก และเพิ่มสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ในมื้ออื่นของวัน และยังต้องออกกำลังกายให้สมดุลกับอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวันด้วย เพื่อสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง” น.ส.แววตาได้กล่าวเอาไว้

Credit >> http://www.shape.in.th

ทานอาหารอย่างไรให้ห่างไกลจากคำว่าอ้วน

นอกจากการออกกำลังกายจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถลดน้ำหนักได้แล้ว การเลือกกินอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญอีกหนึ่งสิ่งเช่นเดียวกันที่เป็นตัวช่วยในการลดและควบคุมน้ำหนัก เราจึงขอแนะนำเทคนิคและวิธีการเลือกกินอาหารจาก WomanstoryOnline มาฝากกันเพื่อให้เราห่างไกลจากความอ้วน

โดยปกติแล้วคนอ้วนส่วนใหญ่มักจะมีพฤติกรรมที่กินเร็ว ซึ่งในการกินเร็วนั้นจะส่งผลทำให้เรากินมากขึ้น ทั้งนี้มีการวิจัยออกมาว่า ถ้าหากปรับพฤติกรรมของคนอ้วนให้กินช้าลงจะทำให้ลดน้ำหนักลงได้ เพียงแค่เคี้ยวอาหารให้ช้าลง น้ำหนักก็จะลดลงตามมาด้วยเปรียบได้เหมือนกับการไปออกกำลังกาย และสำหรับคนที่กินเร็วนั้นจะไม่รู้สึกอิ่มเท่ากับคนที่เคี้ยวช้าๆ บางครั้งก็อาจจะทำให้กินเพิ่มมากขึ้น หรือรู้สึกว่าอยากกินของหวานตบท้าย ซึ่งล้วนแต่อาจจะส่งผลให้เกิดเป็นโรคหัวใจ โรคความดัน หรือโรคเบาหวานได้

นอกจากนั้นการที่เราจะกินอาหาร กลิ่น หรือรสที่เราสัมผัส จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา และในความรู้สึกนี้ก็จะส่งต่อไปยังระบบฮอร์โมนให้ปล่อยสารอินสุลิน ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยเอาน้ำตาลเข้าไปในเซลล์และเผาผลาญไปเป็นพลังงาน แต่ทั้งนี้ก็จะต้องเคี้ยวให้นานพอที่จะให้น้ำลายสามารถย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ ถ้าหากกินอาหารแบบเร็วๆไม่เคี้ยว อาหารทั้งก้อนนั้นก็จะถูกส่งลงไปยังกระเพาะ แต่กระเพาะก็จะต้องใช้เวลานานเป็นชั่วโมงในการย่อยอาหาร ในขณะที่สารอินสุลินหลั่งออกมารอน้ำตาลโดยที่ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะว่ากระเพาะนั้นไม่มีการย่อยแป้ง ต่อมาหลังจากนั้นอาหารก็จะถูกส่งผ่านไปยังลำไส้เล็กตอนต้น และเริ่มย่อยแป้งเป็นน้ำตาลแต่น้ำตาลนั้นก็จะถูกอินสุลินดูดนำไปเก็บไว้ และแปลงเป็นไขมันสะสมในที่สุดนั่งเอง

Credit >> http://www.shape.in.th

กินดึกระวังอ้วน

น้ำหนักตัวนั้นเพิ่มขึ้นกว่าการกินอาหารเกือบ 1 เท่าตัว คุณนั้นเป็นคนหนึ่งที่ชอบรับประทานอาหารเวลากลางคืนหรือไม่หละ รู้หรือเปล่าว่านั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่ารวดเร็ว

งานวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาชี้ได้ให้เห็นว่า การมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อเท่านั้น ช่วงเวลาในการรับประทานอาหารก็ถือว่าสำคัญมาก ในเรื่องการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก

ทางนักวิจัยก็ได้ทำการทดสอบโดยให้อาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงกับหนูทดลองทั้งในช่วงเวลากลางวันและเวลากลางคืนในปริมาณที่เท่ากันแล้วก็ได้ พบว่าหนูที่ได้รับอาหารเหล่านี้ในเวลากลางคืนนั้น จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 48% เลยทีเดียว แต่ในขณะที่หนูซึ่งได้รับอาหารในเวลากลางวันนั้นจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเพียง 20% เท่านั้นเอง

หลังจากการทดลองเมื่อนำมาเปรียบเทียบในมนุษย์ก็ได้พบว่า การรับประทานอาหารในช่วงกลางคืนนั้นมันจะทำให้เรามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการรับประทานอาหารในช่วงเวลากลางวันเกือบ 1 เท่าตัวเลยทีเดียว

นักวิจัยได้กล่าวเอาไว้ว่าการวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นให้เรานั้นเห็นถึงประโยชน์ของการรับประทานอาหารเช้า และโทษของการรับประทานอาหารในช่วงเวลากลางคืน เนื่องจากว่าในขณะที่ร่างกายเราหลับนั้นร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงาน แคลอรี่ในร่างกายจึงเปลี่ยนเป็นไขมันแทน

เวลาที่เราคิดว่าเหมาะสมในการรับประทานอาหารนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก นั้นคือ ช่วงก่อนสองทุ่ม

Credit >> http://www.shape.in.th

อาหารสำหรับลดน้ำหนัก

ถึงแม้ว่าเรานั้นจะอยากผอมสักเพียงไหน ก็ไม่จำเป็นว่าเรานั้นต้องอดอยากปากแห้ง แค่คบอาหารพวกนี้เป็นเพื่อน คุณก็มีสิทธิ์ผอมเหมือนกันกับคนอื่นอยู่แล้ว

1. หมากฝรั่งลดความอยาก
มีผลจากการวิจัยออกมาว่า แค่เรานั้นเคี้ยวหมากฝรั่งอย่างเดียวนั้นก็สามารถก็อิ่มได้ เพราว่าะบางทีสิ่งที่คุณนั้นคิดว่าเป็นความหิวอาจจะเป็นแค่อาการโหยอาหาร อยากมีอะไรให้ปากเคียวเพียงแค่นั้น

2. ข้าวโอ๊ตแบบซอง

ข้าวโอ๊ตแบบนี้จะมีขายตามซูเปอร์ทั่วๆไป เพราะฉะนั้นห้ามบ่นเป็นอันขาดว่าหาซื้อไม่ได้ เวลาเราหิวๆ แทนที่เรานั้นจะลุกไปทักทายป้าร้ายขายข้าวแกง แค่คุณชงข้าวโอ๊ตนี่กิน คุณก็จะอิ่มได้ทันที เพราะว่าข้าวโอ๊ตนั้นเป็นอาหารไฟเบอร์สูงเลยหนักท้อง ซองเดียวนั้นก็อยู่ได้หลายชั่วโมงเลยทีเดียว แถมแคลอรี่ก็ยังต่ำ ดีแบบนี้ก็เอาใจนักไดเอทไปเลยๆๆๆ

3. เหลือที่ว่างไว้ให้ขนม
ถ้าชอบหรือโปรขนมอะไรก็ไม่ต้องงด เพียงแต่ต้องตัดข้าวออกไปสักครึ่งจานเพื่อเผื่อท้องของเราไว้ให้ขนมบ้าง อย่าเอาทั้งข้าวทั้งขนม

4. อาหารที่ฉ่ำน้ำ
แตงกวา เห็ดส้มโอ แคนตาลูป แตงโม มะเขือเทศ นั้นควรมีติดตู้เย็นไว้อย่าให้ขาด หรือถ้าหากว่าชอบก๋วยเตี๋ยวก็ต้องกินก๋วยเตี๋ยวน้ำแล้วซดน้ำซุปมากๆ ส่วนมื้อไหนที่ทานข้าว นักไดเอทนั้นก็ควรมีแกงจืดวางประจำเป็นผู้ช่วยอยู่ทุกมื้อด้วย น้ำนั้นจะช่วยให้คุณอิ่มเร็ว แถมยังทำให้เราหนักท้อง และไม่หิวบ่อยๆอีกด้วยหละ

5. เครื่องดื่มร้อนๆ
ความร้อนนั้นจะไปช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารของเรานั้นให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น คนที่ชอบดื่มชาร้อนๆ ตบท้ายมื้ออาหารนั้นจึงมักที่จะผอมกว่าคนที่ตบท้ายด้วยน้ำเย็น

6. อาหารรสจัด
สาร แคปไซซินในพริกเป็นยากระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด คนที่กินพริกหรืออาหารที่ใส่เครื่องเทศรสจัด นั้นจะมีโอกาสผอมเพิ่มขึ้นอีก 20 % เลยทีเดียวโดยที่ไม่ต้องไปวิ่งออกกำลังกายให้เสียเวลา แถมเวลาที่เรากินของเผ็ดนั้นเราก็ต้องดื่มน้ำมากๆ ทำให้เรานั้นกินได้น้อนลงเอง

7. โปรตีนน้อยย่อยง่าย

สุดยอดอาหารโปรตีนที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ นั่นก็คือปลาทุกชนิด นอกจากนี้ก็ยังมี นมไขมันต่ำ ถั่ว อกไก่ ไข่ขาว ปู กุ้ง และเต้าหู้

8. อาหารที่กระตุ้นการทำงาน
ของแบบนี้นั้นหากินได้ไม่ยากเลย เพราะว่ามันก็คือถั่วนั่นเอง จะถั่วลันเตา ถั่วลิสง ถั่วปากอ้าก็ใช้ได้ทั้งนั้น ยกเว้นมะม่วงหิมพานต์ เพราะว่ามันมีไขมันที่สูงมากเลยทีเดียวเชียว

http://www.shape.in.th

การจัดการเรื่องเวลาสามารถช่วยทำให้หุ่นดีได้

การที่เรานั้นจัดตารางเวลาในการรับประทานอาหารในแต่ละวันตามช่วงเวลาที่เหมาะสมนั้น มันจะช่วยให้การควบคุมการทาน และการควบคุมน้ำหนักของเรานั้นเห็นผลได้ โดยที่ไม่ต้องยุ่งยากหาวิธีการอื่น ๆ อีกเลย ซึ่งความเหมาะสมนั้นมาจากตารางนี้

เวลา 05.00 – 07.00 น. ให้เราดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว เพื่อช่วยในการขับถ่าย

เวลา 07.00 – 09.00 น. ให้เราทานอาหารเช้า เพราะเป็นช่วงเวลาที่กระเพาะอาหารทำงาน ถ้าทานได้ทุกวันจะทำให้กระเพาะอาหารแข็งแรง และช่วยให้หน้าไม่แก่เร็ว

เวลา 09.00 – 11.00 น. ให้เรานั้นงดทานอาหาร ขนม และน้ำ เพราะอาหารและน้ำจะแปรสภาพเป็นไขมัน

เวลา 13.00 – 15.00 น. ให้เราควรงดอาหารทุกประเภท เพราะลำไส้เล็กทำงานหนัก

เวลา 15.00 – 17.00 น. ให้เรานั้นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการออกกำลังกาย พยายามให้เหงื่อออก กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง

เวลา 23.00 – 01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ควรงดอาหารและดื่มน้ำก่อนเข้านอน

ถ้าเรานั้นทำตามตารางข้างต้นนี้ได้ครบละก้อรับรองว่า น้ำหนักนั้นจะไม่มารบกวนคุณอีกเลย

Credit >> http://www.shape.in.th

การนอนหลับอย่างไรถึงจะช่วยลดความอ้วน

สาวๆ หลายท่านที่ยังมีปัญหาเรื่องในเรื่องน้ำหนัก ต้องทนทุกข์ทรมานกับการควบคุมอาหาร หรือการที่หักโหมออกกำลังกายที่ต้องใช้ ความอดทนมานาน แถมมันยังไม่ค่อยเห็นผลอีกต่างหาก วันนี้ ทางเรานั้น มีอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องไขมันส่วนเกินแบบง่ายแสนง่าย จนคุณเองนั้นก็คาดไม่ถึง มาฝาก

มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโกกลุ่มหนึ่งได้ค้นพบว่า “เพียงแค่คุณนั้นนอนหลับให้เพียงพอในเวลากลางคืนแล้ว ก็สามารถที่จะไป ช่วยให้ร่างกายของเรานั้นกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้เช่นกัน” แถมยังพบอีกด้วยว่า คนที่นอนน้อยในเวลากลางคืนมีโอกาสจะกลายเป็นคนอ้วนอีกด้วยหละ

โดยผลการทดลองนี้ ได้มาจากการทดลองทำในกลุ่มอาสาสมัคร 10 คน ใช้เวลานาน 4 อาทิตย์โดยที่ในการทำวิจัยนั้นจะให้ทุกคนนั้น รับประทานอาหารแคลอรีต่ำเหมือนกันทุกคน ในสองสัปดาห์แรก เหล่าอาสาสมัครจะได้นอนคืนละ 8.5 ชั่วโมง และอีกสองสัปดาห์ที่เหลือเวลานอนจะลดลงเหลือเพียงแค่ 5.5 ชั่วโมงเท่านั้น

และเมื่อได้สิ้นสุดการทดลองลงในสัปดาห์ที่สี่นั้นพบว่า แม้ว่าน้ำหนักของอาสาสมัครในช่วงอาทิตย์แรกกับอาทิตย์ที่สองนั้นจะไม่แตกต่างกันนัก แต่…ที่น่าสนใจคือ “สัดส่วนของไขมันที่พบว่า สองสัปดาห์แรกไขมันของอาสาสมัครลดลงเฉลี่ย 3.1 ปอนด์ ขณะที่สองสัปดาห์หลัง ซึ่งอาสาสมัครได้นอนเพียงคืนละ 5.5 ชั่วโมง ปริมาณไขมันลดลงเฉลี่ยเหลือเพียง 1.3 ปอนด์”เท่านั้นเอง

Credit >> http://www.shape.in.th

วิธีกินให้น้อยลง

ไม่ว่าเราจะพยายามซักแค่ไหนแล้วก็ตาม บ่อยครั้งเลยที่เรามักจะพบว่า เรามักจะเอื้อมมือไปหยิบขนมมาใส่ปากด้วย เพราะว่ายังมีเหตุผลอื่นๆ อีกที่นอกเหนือไปจากความหิว เราลองมาดูพร้อมกันว่า อะไรคือตัวการกันแน่ที่ไปกระตุ้นประสาทความจนทำให้เรากินแบบไม่บันยะบันยัง และมาหาวิธีที่ดีๆ ในการเอาชนะสาเหตุเหล่านั้น ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

1) คุณมีความหิวตลอดเวลาหรือไม่ ?

การกินมากจนเกินไป เป็นเพียงแค่นิสัยที่แย่ๆ ที่คุณอาจจะสามารถแก้ไขมันได้เหมือนกับนิสัยอื่นๆ และนี่ก็คือวิธีการในการเอาชนะมันค่ะ
- นำอาหารขยะทั้งหลายแหล่ไปทิ้งให้พ้นๆ สายตาคุณ และเลือกกินแต่ธัญพืช ผักสด ผลไม้สด ถั่วต่างๆ นมโยเกิร์ต และเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันแทน
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ยักษ์
- ให้ใช้จานที่มีขนาดเล็ก วางช้อนลงกับจานหลังจากที่ได้ตักอาหารเข้าปากไปแล้ว และให้เคี้ยวอาหารอย่างช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดก่อนจะกลืนมันลงไป

2) คุณมีเวลาในการนอนพักผ่อนพอหรือไม่ ?

ถ้าคุณมีเวลานอนพักผ่อนที่น้อยแล้ว ก็จะทำให้คุณรู้สึกหิวขึ้นมาได้ทุกเมื่อ จนทำให้คุณต้องหาอะไรมาลงท้องเพื่อบรรเทาอาการหิว ปัญหานี้สามารถที่จะจัดการกับมันได้โดย …
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาบ่ายและช่วงเวลาเย็น
- อาบน้ำอุ่นๆ ก่อนที่จะเข้านอน เพื่อให้ร่างกายได้รู้สึกผ่อนคลายและทำให้หลับได้ง่ายขึ้น
- อย่าทำการออกกำลังกายใกล้ๆ ช่วงเวลานอน เพราะมันอาจจะทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานเพิ่มมากขึ้น และจะทำให้คุณหลับไม่ลงได้
- เข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา

3) คุณกินเพื่อที่จะคลายความเครียดหรือไม่ ?

เมื่อคุณมีอาการเครียด ร่างกายของคุณก็จะหลั่งสารคอร์ติซอล ซึ่งจะทำให้ร่างกายสรุปเอาเองว่า มันจะต้องหาอะไรมาลงท้องเพื่อจะได้ผ่อนลายความเครียดมันออกไป และนี่ก็คือวิธีการที่จะเอาชนะปัญหานี้ค่ะ โดย …
- คิดหาวิธีการที่จะลดความเครียดลง ซึ่งในบางทีคุณอาจจะต้องแบ่งงานของคุณเพื่อให้คนอื่นได้ทำบ้าง หรือไม่ก็ทำการประเมินการดำเนินชีวิตของคุณทั้งการดำเนินชีวิตที่บ้านและที่การดำเนินชีวิตที่ทำงานเสียใหม่
- หาเวลาว่างในแต่ละวัน เพื่อที่จะทำการผ่อนคลายความเครียดต่างๆ ให้เป็นเรื่องเป็นราว ด้วยการเล่นโยคะ หรือการทำสมาธิก็เป็นตัวเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง
- การขยับเขยื้อนร่างกายให้มีการเคลื่อนไหว ด้วยการเดินเพียงระยะเวลาแค่ห้านาที ก็ช่วยที่จะช่วยลดระดับของคอร์ติซอลได้

Credit >> http://www.shape.in.th

ความหิวช่วยคุมน้ำหนักคุณได้

โภชนากรซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด กล่าวว่า การใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบของคนยุคนี้ทำให้มองข้ามหรือละเลย “เรื่องเล็กน้อย” ที่มีความสำคัญต่อสุขภาพไปโดยไม่รู้ตัว

ซึ่ง “เรื่องเล็กๆ” ที่ถูกเพิกเฉยหรือไม่สนใจมากที่สุดก็คือ สัญญาณ “ความหิว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการควบคุมน้ำหนัก ทำให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็น “เรื่องใหญ่” และเป็นดาบสองคมอย่างไม่มีใครคาดคิด เพราะมันทำให้เราสับสนและแยกแยะไม่ออกว่า “ความหิว” ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งนั้น เป็น “ความหิวที่ร่างกายต้องการอาหารจริงๆ” หรือ “หิวเพราะแค่อยากกินกันแน่”

ดังนั้น ถ้าไม่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก หรือเข้าคอร์สลดน้ำหนักโดยไม่ตั้งใจ เราต้องฟัง “สัญญาณของความหิว” ของตัวเราเอง เพราะในแต่ละคนจะแสดงปฏิกิริยาของความหิวแตกต่างกันออกไป และเพื่อให้แน่ใจว่า “ความหิว” ที่เกิดขึ้นนั้น เป็น “ความหิวที่เกิดจากความต้องการของร่างกายจริงๆ” หรือ “ความอยากกิน” ก็มีวิธีสังเกตง่ายๆ ดังนี้

1.เมื่อ ขาด “พลังงาน” ร่างกายก็จะเริ่มส่งสัญญาณ “ความหิว” เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะขาดพลังงาน เนื่องจากน้ำตาลในเลือดมีปริมาณต่ำลง ก่อนการรับประทานอาหารมื้อถัดไป มันจะส่งสัญญาณให้เรารู้ผ่านปฏิกิริยาต่างๆ เช่น รู้สึกวิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลียและหน้ามืด แต่สัญญาณเตือนชั้นดีที่สร้างความมั่นใจว่า “ร่างกายขาดพลังงานจริงๆ” คือ “เสียงท้องร้อง”

2.เช็ก ระดับสัญญาณ “หิวจริง” หรือ “อิ่ม” ได้ด้วยการจดบันทึก “อาการของความหิว” ทั้งก่อนและหลังกินเสร็จในทุกมื้อ โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนความหิวหรืออิ่ม ตั้งแต่ 1 ที่เป็นระดับของความหิวมากถึง 10 ซึ่งหมายถึงอิ่มแน่นจนเริ่มไม่สบายตัว การจดบันทึกจะช่วยทำให้เราประเมินได้ว่า จริงๆ แล้วเราควรหยุดกินเมื่อไหร่กันแน่ ซึ่งกว่าเราจะรู้ตัวว่าอิ่มและหยุดกินอาหารได้แล้ว ก็มักจะแน่นท้องทรมานไปแล้ว

3.เรา ควรจะเริ่มกินเมื่อระดับความหิวอยู่ที่ระดับ 3 ถึง 4 ซึ่งกระเพาะอาหารของเราจะร้องเบาๆ นั่นเป็น “สัญญาณ” บอกว่า เราควรเริ่มกินได้แล้ว และควรหยุดเมื่อระดับความหิวอยู่ที่ระดับ 5 หรือ 6 นั่นหมายถึง เรากำลังอิ่มในระดับที่เรียกว่าพอดี แต่หากเราปล่อยให้ความหิวไต่ระดับไปถึง 1 หรือ 2 คือ “หิวจัด” จนตาลายแล้วล่ะก็ เรามักจะเบรกแตกและกินทุกอย่างที่ขวางหน้าจนถึงระดับความอิ่มที่ 9 หรือ 10 ผลคือ อิ่มแน่นจนทรมานทีเดียว

4.”อิ่ม” อร่อยอย่างมีคุณภาพ เมื่อฝึกแยกแยะและวิเคราห์ระดับความหิว-อิ่มแล้ว ให้จำไว้ว่า “กินแค่พออิ่ม” ซึ่งเทคนิคการกินให้อิ่มอย่างง่ายๆ คือฟัง “สัญญาณ” และสังเกตปฏิกิริยาจากร่างกายของเรานั่นเอง เช่น อัตราการเคี้ยวและความเร็วในการกินอาหารจะช้าลง และที่สำคัญควรใส่ใจเรื่องคุณค่าของสารอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละมื้อร่วม ด้วย

อย่างไรก็ตามเราสามารถฝึกทักษะเพื่อการรับรู้และตอบสนองต่อ “ความหิวและความอิ่ม” ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายได้อย่างง่ายๆ โดยใช้เวลา 3-4 วันในการฝึกและสังเกตในช่วงแรก เริ่มจากการบันทึกรายการอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละมื้อ และลองสังเกต “ระดับความหิว” ทั้งก่อนและหลังการกินอาหารว่าอยู่ในระดับไหน เพราะร่างกายของเรามีความฉลาดในการแยกว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการหรือไม่ต้องการ การฝึกฟังเสียง “สัญญาณ” จากภายในร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เราแน่ใจว่าก่อนจะส่งอาหารเข้าปาก เรามั่นใจแล้วว่า “หิวจริงๆ นะ” ไม่ใช่แค่ “อยากกิน” เพราะไม่อย่างนั้น คงต้องเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักกันยาว

Credit >> http://www.shape.in.th

อาหารสำหรับคนอยากหุ่นดี

สำหรับใครที่อยากผอม มีหุ่นดี ไม่อยากอ้วนมักจะหันมาสนใจเรื่องของการรับประทานอาหารกันมากขึ้น โดยเฉพาะการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ

ถ้าพูดถึงอาหารเพื่อสุขภาพกันแล้ว ก็มักจะต้องนึกถึงอาหารพวก “ธัญพืช” ต่างๆ เป็นอันดับแรก โดยเฉพาะพวกธัญพืชเต็มเมล็ด หรือที่เรียกกันว่า โฮลเกรน ซึ่งเป็นธัญพืชที่ยังมีส่วนประกอบต่างๆ อยู่ครบถ้วน ทั้งเนื้อเมล็ด เยื่อหุ้มเมล็ด และจมูกข้าว หรือจริงๆ แล้วก็คือธัญพืชที่ยังไม่ได้ผ่านการขัดสี หรือมีการขัดสีออกน้อยที่สุด ทำให้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โฮลแกรน เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อุดมไปด้วย เส้นใยอาหาร แร่ธาตุ วิตามิน และไฟโตนิวเตรียนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่เรารับประทานโฮลแกรนจึงเป็นผลดีสำหรับสุขภาพ และรับประทานได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่

อาหารเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพในแบบของ “ธัญพืชเต็มเมล็ด” นั้น ทุกวันนี้หาซื้อกันได้ไม่ยากที่เรามักจะเห็นกันได้ทั่วๆ ไป เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เล่ย์ ซีเรียล ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท พาสต้า  ข้าวโพด และลูกเดือย

สำหรับหนุ่มๆ สาวๆ ที่ต้องการมีสุขภาพดี และรักสวยรักงาม การหันมากินอาหารแบบนี้ นอกจากจะได้สุขภาพดีแล้ว ยังสามารถช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สำหรับใครที่อยากสวยและมีหุ่นดีไปพร้อมกันนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องควรทราบก็คือเราต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ โดยเฉพาะในมื้อเช้าห้ามงดอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเพื่อสุขภาพดีและหุ่นส่วนจึงควรเลือกทานอาหารประเภทโฮลเกรน เพราะนอกจากจะทำให้อยู่ท้องแล้ว  พลังงานที่ได้รับยังจะกระจายไปจนถึงตอนเที่ยง พอถึงมื้อเที่ยงเราแค่รับประทานข้าวสักจาน หรือก๋วยเตี๋ยวสักถ้วย แค่นี้ก็จะรู้สึกอิ่มกันแล้ว หลังจากนั้นในช่วงมื้อเย็นควรหาทานอะไรเบาๆ เช่น พวกซุบ ปลาย่าง สลัดผัก จะทำให้รู้สึกสบายไม่อึดอัด สำหรับเด็กๆ ที่รับประทานอาหารประเภทนี้ ยังช่วยไปเสริมสร้างให้มีสมาธิ เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ และที่สำคัญไม่ทำให้เกิด “โรคอ้วน” ขึ้นอย่างแน่นอน

Credit >> http://www.shape.in.th

นมสดสามารถช่วยลดน้ำหนักได้น่ะ

สาว ๆหลายคนกลัวการดื่มนม เพราะคิดว่านมมาพร้อมกับไขมันและความอ้วน แต่ผลการ วิจัยล่าสุดกลับบอกว่าการดื่มนมช่วย ลดน้ำหนักได้

โดยนักวิจัยได้ทำการติดตามคนอ้วนกว่า 300 คนที่มีอายุระหว่าง 40-65 ปี ซึ่งทำการควบคุมน้ำหนักด้วยการรับประทานอาหารไขมันต่ำ, คาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือการไดเอทแบบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ผลที่ได้จากการติดตามพบว่ากลุ่มที่มีการรับประทานแคลเซียมสูง ประมาณ 580 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเป็นนม 2 แก้ว สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 12 ปอนด์ใน 2 ปี ส่วนกลุ่มที่รับประทานต่ำเพียง 150 มิลลิกรัม หรือเทียบเป็นนมเพียงครึ่งแก้วต่อวัน ลดน้ำหนักได้แค่ 7 ปอนด์

นักวิจัยได้อธิบายความแตกต่างว่า นมนั้นจะไปช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย ทำให้เกิดการเผาผลาญได้ดี“นมช่วยให้เรารู้สึกอิ่ม และเกิดความพึงพอใจ ทำให้ไม่นึกอยากกินอาหารที่มีน้ำตาล เครื่องดื่มซอฟต์ดริ๊งค์ น้ำผลไม้หวาน ๆ หรือเครื่องดื่มโซดาทั้งหลาย”

นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยเพิ่มเติมว่าในน้ำนมมีวิตามิน D ที่ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักได้ดีกว่า…โดยระดับวิตามิน D ที่มีการแนะนำไว้ต่อวันคือ 400 มิลลิกรัม หรือเทียบได้กับนมโลว์แฟต หรือนมพร่องมันเนย 4 แก้ว

Credit >> http://www.shape.in.th

สับปะรดช่วยลดความอ้วนได้

สับปะรดมีวิตามินซีที่สามารถ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง สับปะรด เป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ง่ายในบ้านเราตลอดทั้งปี ราคาไม่แพง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ประโยชน์สัปปะรดมีดังนี้

1. ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง กินสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ร่างกายได้รับวิตามินซีที่ในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ ช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ การกินสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น จึงเป็นการเพิ่มแรงต้านโรคให้แก่ร่างกาย แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากเกินไป

2. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้สารแอนตี้ออกซิแดนต์ ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

3. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ที่มีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และยังช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

4. ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือ จะช่วยลดความเสียงโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็ง ได้ถึง 20% เชียวนะ

5. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และเอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ผิดปกติในปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ป้องกันมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่

6. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดช่วยยับยั้งการอักเสบ ซึ่งชาวอเมริกาใต้โบราณ ใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผลที่ได้ผลดี

7. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูง ที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

หมายเหตุ : แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ควรกินแต่พอควร เช่น วันละหนึ่งชิ้น และกินผลไม้อื่น ๆ ผสมผสานกันด้วย เพราะการกินอะไรที่มากไปก็ย่อมให้ผลเสียอยู่ดี

Credit >> http://www.shape.in.th

ข้อควรระมัดระวังสำหรับคนที่เริ่มต้นลดน้ำหนัก

ในการรักษาน้ำหนักตัวให้คงอยู่ในระดับที่เป็นปกติ เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนสูง โครงสร้างของรูปร่าง และช่วงอายุ คือสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการมีสุขภาพที่ดี แต่บางทีการลดน้ำหนักอย่างถูกต้องตามวิธีการ โดยการระวังในเรื่องสิ่งของที่รับประทานและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็ไม่สามารถที่จะลดน้ำหนักตามที่คุณต้องการได้ เนื่องจากสาเหตุบางอย่างที่คุณนั้นก็อาจนึกไม่ถึงเลยค่ะ

- การกักเก็บน้ำของร่างกาย ลองลดปริมาณของอาหารที่เป็นสาเหตุของการกักเก็บน้ำในร่างกายให้มากขึ้น อย่างเช่น เกลือ หรือน้ำอัดลม ฯลฯ ดูสิคะ แล้วหันมารับประทานผลไม้ อย่างแตงโม หรือส้ม ซึ่งจะช่วยทำให้การกักเก็บน้ำในร่างกายลดลงและสามารถช่วยขจัดน้ำที่อยู่ในร่างกายได้มากขึ้นด้วย

- แพ้อาหารบางชนิด อาการแพ้อาหารนั้นก็อาจจะเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่อาจจะทำให้น้ำหนักตัวของคุณไม่มีการขยับลดลงเลย ข้อมูลของการแพ้อาหารที่ส่งผลต่อน้ำหนักตัวที่พบกันมากที่สุดก็คือ การแพ้จากการรับประทานข้าวสาลี เนื่องจากว่าในข้าวสาลีนั้น มีส่วนผสมของกลูเตน ที่อาจจะไปรบกวนระบบการย่อยได้ การแพ้ข้าวสาลีจึงมีผลทำให้มีปัญหาในการย่อยอาหาร ทำให้มีอาการท้องผูก ท้องอืด เป็นตะคริวง่าย อารมณ์แปรปรวน คลื่นไส้ และมีความอยากอาหารบ่อยๆ นอกจากนี้แล้ว คุณก็อาจจะไปตรวจเช็คอาการแพ้อย่างอื่นด้วย เพราะอาการแพ้อื่นๆ ก็อาจจะส่งผลต่อน้ำหนักตัว และเกิดอาการบวมได้เช่นเดียวกันค่ะ

- เกิดจากพันธุกรรม ข้อมูลจากการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญมีความเชื่อว่า พันธุกรรมนั้นมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคอ้วนมากถึง 30% – 40% แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณบังเอิญมียีนส์อ้วนอยู่ในตัวล่ะก็ ใช่ว่าคุณจะหมดความหวังว่าจะลดน้ำหนักไม่ได้เลย เพราะข้อมูลจากนักวิจัยชาวเยอรมันได้พบว่า คนที่ทำการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง ก็อาจจะช่วยให้คุณสามารถลดน้ำหนักลงได้

- ทำการออกกำลังกายในแบบเดิมๆ ร่างกายของเรานั้นสามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับกิจวัตรในการออกกำลังกายที่คุณทำเป็นประจำ โดยปรับตัวให้ใช้พลังงานลดน้อยลงได้ ดังนั้นแล้ว การเปลี่ยนกิจวัตรในการออกกำลังกาย หรือลองทำการออกกำลังในแบบใหม่ๆ ดู ก็จะสามารถช่วยกระตุ้นให้ร่างกายของเราใช้พลังงานได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยในการเผาผลาญพลังงานของร่างกายด้วย

- พักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ มีข้อมูลจากงานวิจัยในหลายๆ ชิ้นงาน พบถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างการนอนหลับ กับฮอร์โมนที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเรา ฮอร์โมนที่ว่านั้นได้แก่ ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบต่อความรู้สึกหิว และฮอร์โทนเลปติว (Leptin) ที่จะคอยทำหน้าที่บอกกับสมองว่า เมื่อไหร่ที่ควรจะหยุดรับประทาน แต่ถ้าคุณมีเวลาพักผ่อน หรือนอนหลับไม่เพียงพอ เจ้าฮอร์โมนเกรลินนี้จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ขณะที่ฮอร์โมนเลปติวจะมีปริมาณลดน้อยลง ผลที่ได้ก็คือความอยากอาหารเพิ่มขึ้น และแม้ว่าจะรับประทานเยอะ ก็ยังไม่รู้สึกอิ่ม คนส่วนใหญ่นั้นต้องการเวลาในการพักผ่อนนอนหลับประมาณวันละ 7-9 ชั่วโมง บางคนอาจจะนอนมาก บางคนอาจจะนอนน้อย

ถ้าเป็นเช่นนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรกันล่ะ ว่าจะต้องนอนแค่ไหนถึงจะเพียงพอ ? ผู้เชี่ยวชาญได้บอกเอาไว้ว่า ให้นอนให้นานที่สุดเท่าที่ต้องการ ติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลายๆ วัน จากนั้นแล้วการนอนของคุณก็จะคงที่ และคุณจะสามารถพบได้ว่า ตัวคุณเองนั้นสามารถตื่นขึ้นมาเองได้หลังจากที่ได้นอนครบชั่วโมงตามที่ร่างกายต้องการแล้ว (บวกลบประมาณ 15 นาที) เมื่อคุณรู้ว่าตัวคุณเองนั้นต้องนอนเท่าไหร่ ก็สามารถทำเป็นกิจวัตรได้ และยังจะสามารถช่วยลดน้ำหนักของคุณได้อีกด้วย

Credit >> http://www.shape.in.th

7 เคล็ดลับในการมีน้ำหนักที่สมดุล

   “น้ำหนัก” นับเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล การมีน้ำหนักไม่สมดุลกับร่างกายนั้นส่งผลเสียต่างๆ ตั้งแต่สภาวะจิตใจไปจนถึงร่างกาย น้ำหนักของคนเราจะมากหรือน้อยส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับปริมาณของสิ่งที่รับเข้าไปในร่างกาย ไม่สมดุลกับสิ่งที่ปล่อยออกมา ซึ่งจะแปรผันตามการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล และยังมีปัจจัยอื่นๆอีกอาทิ การออกกำลังกาย และพันธุกรรม เป็นต้น
มาดู 7 วิธี หรือ 7 กลไก ที่ทำให้น้ำหนักสมดุล  (7 Perfect Slen) โดยไม่ต้องเครียด รูปร่างกระชับได้สัดส่วน อีกทั้งสุขภาพยังสดใสแข็งแรงนั้น มีว่าอะไรบ้าง? และในแต่ละกลไกต่างๆนั้นประกอบด้วยสารอาหารประเภทใด? ซึ่งจะเป็นผลดีในการตัดสินใจเลือกบริโภคอาหาร หรือเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ

กลไก 1 ปรับสมดุลของสารเครียด (Cortisol) ในร่างกาย
เมื่อร่างกายเกิดความเครียดขึ้น ต่อมหมวกไตจะหลั่งสารเครียดที่เรียกว่า “Cortisol” ออกมามากขึ้น สารเครียด Cortisol นี้หากมีปริมาณสะสมมากเกินไปจะทำให้เกิดการกินจุกจิก กินไม่รู้จักอิ่ม ปริมาณไขมันสะสมมากขึ้น เป็นผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วย
สารอาหาร L-Theanine + L-Tyrosine จะทำหน้าที่ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลของสารเครียด Cortisol ให้อยู่ในระดับที่พอดีกับความจำเป็นของร่างกาย

กลไกที่ 2 ควบคุมความหิว
Green tea Ext. + L-carnitine + Alpha lipoic acid + Q10 + CLA + Garcinia Ext. จะทำงานร่วมกันเป็น Brain Booster เพิ่มสาร ATP และ Oxygen ให้กับสมอง ทำให้สมองมีระดับพลังงานเต็มที่ จึงทำหน้าที่ช่วยควบคุม ความรู้สึกหิว ไม่ใช่ด้วยการกดสมองไม่ให้หิว แต่ไม่รู้สึกหิวเพราะระดับพลังงานยังเต็มที่อยู่

กลไกที่ 3 รักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไปจะส่งผลเสีย คือ หากระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก็จะถูกนำไปเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมัน ทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายมากขึ้น แต่หากระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง ก็จะทำให้รู้สึกหิว ตาลาย ส่งผลให้รับประทานมากเกินกว่าที่ร่างกายสมควรจะได้รับ
สารอาหาร Alpha Lipoic Acid + Chromium Chealate จะทำงานในการรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงมากและเร็วเกินไป จึงทำให้ลดการสะสมของไขมัน และช่วยควบคุมความหิวได้ดีขึ้น

กลไกที่ 4 Block แป้ง, น้ำตาล และไขมัน
เพื่อป้องกันแคลอรี่ส่วนเกินที่จะถูกนำมาสะสมเป็นไขมันในร่างกาย โดยการทำหน้าที่ของสารสกัดต่าง ๆ ดังนี้
สารสกัดจากถั่วขาว (White Kidney Bean Extract) จะทำหน้าที่ บล็อกเอ็นไซม์ ที่ย่อยแป้ง
สารสกัดจากสาหร่ายทะเล (Sea Weed Extract) จะทำหน้าที่ บล็อกเอ็นไซม์ที่ย่อยน้ำตาล และไขมัน
สารสกัดจากกระบองเพชร (Opuntia Ficus Indica Extract) จะทำหน้าที่ดูดซับไขมันเพื่อขับถ่ายทิ้งออกไปจากร่างกาย
กลไกที่ 5 เผาพลาญไขมันเก่าที่สะสมอยู่ให้สลายไป
สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) แอล-คาร์นิทีน (L-Canitine) สารสกัดจากพริก (Capsaicin Extract) สารสกัดจากขิง (Ginger Extract) และ โคเอ็นไซม์คิวเท็น (Co Enzyme Q.10) จะทำหน้าที่สอดประสานกัน เพื่อสลายไขมันเก่าที่สะสมในร่างกายออกไป

กลไกที่ 6 กระชับสัดส่วน
CLA + Creatine จะทำให้มวลของกล้ามเนื้อมีความตึงกระชับขึ้น ส่งผลให้รูปร่างมีสัดส่วนที่ดีขึ้น

กลไกที่ 7 กำจัดสารพิษที่สะสมในร่างกาย
Wheat Germ Powder จะทำหน้าที่ช่วยในการกำจัดสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายออกไป

Credit >> http://women.mthai.com

วิธีการลดน้ำหนักโดยใช้น้ำเปล่า

สาวๆ หลายคน มักใส่ใจในเรื่องของสุขภาพร่างกายมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับสาวๆ บางคน อาจจะไม่มีเวลาได้ดูแลตัวเองสักเท่าไหร่ อยากลดน้ำหนักส่วนเกินออก แต่ดันไม่มีเวลา มาลองดูกันกับเคล็ดลับง่ายๆ แบบนี้ดูสิคะ รับรองว่า เวิร์คชัวร์ค๊า…

…..เคล็ดลับการลดน้ำหนัก ที่ว่านี้ ก็คือการเลือกดื่มน้ำเปล่า แทนการอดอาหารนั่นเองค่ะ น้ำเปล่า เป็นตัวเลือกที่ดีและเหมาะสม อีกหนึ่งตัวเลือกเลยนะคะ ที่คุณสาวๆ สามารถใช้เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักในแต่ละวันได้ การลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำนั้น ก็มีเคล็ดลับแบบง่ายๆ โดยให้คุณสาวๆ ดื่มน้ำเปล่า 2 แก้ว ก่อนการทานอาหารครึ่งชั่วโมง ในทุกๆ มื้ออาหาร จะส่งผลทำให้คุณสาวๆ มีความอยากในการทานอาหารลดน้อยลง

…..แถมยังมีผลการวิจัย (Institute for Public Health and Water Research และ Virginia Tech University ประเทศสหรัฐอเมริกา) ระบุว่า น้ำเปล่านั้น สามารถเข้าไปช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญไขมัน และน้ำตาลในร่างกายได้

…..ศาสตราจารย์ ดร. บาร์รี ป็อปคิน ผู้อำนวยการศูนย์ UNC Interdisciplinary Obesity Center (IDOC) ประจำมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา แสดงทัศนะว่า การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณเหมาะสมช่วยลดน้ำหนัก เพราะเหตุผลสองประการ คือ ประการที่หนึ่ง “น้ำทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดลง ร่างกายจึงเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลความร้อน ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตามไปด้วย ช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินสะสม“

…..ประการที่สอง “เมื่อดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น ทำให้ลดโอกาสดื่มน้ำหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง จึงควบคุมน้ำหนักง่ายขึ้น“

…..นอกจากนี้ คุณสาวๆ จะต้องหลีกเลี่ยง การดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ น้ำหวานต่างๆ ไม่ว่าคุณสาวๆ จะอยากทานมากแค่ไหน ก็ต้องหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด เพราะเครื่องดื่มเหล่านั้น เป็นตัวเพิ่มระดับน้ำตาลให้กับร่างกายได้สูงมากขึ้น แถมยังยากต่อการเผาผลาญอีกด้วยนะคะ

…..อ๊ะๆ คุณสาวๆ อย่าเพิ่งรีบร้อน จนหาทางออกของการลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวนะคะ นอกจากการดื่มน้ำเปล่าแล้ว คุณสาวๆ จะต้องเลือกอาหารที่พอเหมาะ และมีประโยชน์กับร่างกายด้วย ที่สำคัญ คุณสาวๆ จะต้องไม่ลืมที่จะออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยนะคะ จะได้สวย ใส น่ารัก มีสุขภาพดี สมบูรณ์แบบได้ค่ะ

Credit >> http://women.mthai.com

การดูดไขมันดีควรทำหรือไม่

สาวๆ คนไหน ที่ไม่มีความมันใจในตัวเอง คิดว่า ตัวเองมีไขมันส่วนเกิน แล้วคิดอยากจะไปกำจัดไขมันส่วนเกินนั้นออก อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจไปค่ะ มาดูข้อควรรู้และเรื่องที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ดีกว่ามั้ยค่ะ

1. การดูดไขมันไม่ใช่เป็นการลดน้ำหนัก อย่างแรกเลย การดูดไขมัน มีผลเฉพาะต่อบางพื้นที่บางจุดเท่านั้น โดยเฉพาะต้นขาและเอว (พุง) นอกจากนี้ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจดูดไขมันส่วนเกินนั้น Dr.Dirk Lazarus ศัลยแพทย์พลาสติก แห่งเคปทาวน์ กล่าวว่า คุณควรมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 30

2. หาย…แต่เพิ่ม งงมั้ยคะ แน่นอว่า การดูดไขมัน อาจจะทำให้เซลล์ไขมันของคุณหายไป แต่ไขมันส่วนอื่นอาจจะเพิ่มมาแทน เพื่อทดแทนส่วนที่หายไป ผู้หญิงรูปร่างปกติ ที่ดูดไขมันที่ต้นขาและท้องน้อย จะมีไขมันในปริมาณที่เท่ากัน เพิ่มขึ้นที่บริเวณเอวส่วนบนช่วงไหล่ และต้นแขนส่วนไตรเซพ การเพิ่มของไขมัน เป็นภาวะการพิทักษ์การสะสมไขมันของร่างกาย

…..นอกจากนี้ ภายหลังจากที่คุณดูดไขมันไปแล้ว คุณก็จะกลับไปบริโภคอาหารที่ให้พลังงานมากเกินกว่าที่ใช้ในแต่ละวัน ไขมันกลับมาพอกพูนในส่วนที่เซลล์ไม่ถูกทำลาย

3. เพิ่มที่อื่นแทน แม้ว่าคุณจะทำการดูดไขมันส่วนเกินออกไปแล้ว แน่นอนว่าไขมันจะไม่กลับเข้าไปสะสมอยู่ที่เดิมที่ถูกดูดออกมา เพราะการดูดไขมัน ได้ทำลายผนังเซลล์ในส่วนนั้น แต่ไขมันก็จะไปเพิ่มอยู่ส่วนอื่นแทนนั่นเอง

4. นำไปเพิ่มที่อื่นได้ ไขมันที่ถูกดูดออกไป สามารถนำกลับมาฉีดกลับเข้าไปในอวัยวะส่วนอื่นๆ ได้ ตั้งแต่ริมฝีปาก จรดอวัยวะเพศ…! นี่คือเรื่องจริงนะคะ เนื่องจากไขมันที่ถูกดูดออกมา มันคือส่วนหนึ่งของร่างกาย จึงไม่มีโอกาสต่อต้านด้วยร่างกายของตนเอง และกระบวนการนี้ สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมกันกับการดูดไขมัน เพียงแค่ฉีดยาชาเพิ่มเท่านั้นเอง

5. หญิงดีกว่าชาย ศัลยแพทย์พลาสติกจากเมือง เดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้ ยังกล่าวอีกว่า การดูดไขมัน มักจะประสบผลสำเร็จ ในผู้หญิง มากกว่า ผู้ชาย เพราะไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายของเพศชายนั้น ดูดได้ยากกว่าและใช้เวลานานกว่า

6. วิธีใหม่ ส่งตรงจากสปา วิธีนี้เรียกว่า Cryolipolysis (Cool Sculpting) ซึ่งเป็นการสลายไขมันด้วยความเย็น แต่วิธีนี้ ศัลยแพทย์ ยังมีข้อกังขาอยู่ว่า มีผลเป็นเพียงการสลายเฉพาะจุดเท่านั้น

7. ใช้เทคโนโลยีต่าง ผลลัพท์ต่าง การดูดไขมันด้วยวิธี Ultrasonic-Assisted Liposucting (UAL หรือ การดูดไขมันด้วยอัลตร้าซาวด์) ซึ่งใช้การประยุกต์คลื่นเสียงความถี่สูงมาใช้ ด้วยการใช้สัญญาณเสียงส่งผ่านไปที่ปลายท่อยาว และทำให้เซลล์ไขมันแบบหนาแน่นเช่น ในส่วนหน้าอกและหลัง

…..ส่วนการดูดไขมันด้วย Laser Lipolysis (การดูดไขมันด้วยเลเซอร์) ซึ่งเป็นการใช้แสงเลเซอร์ยิงเซลล์ไขมัน ที่ต้องการสลาย จนกลายเป็นน้ำมัน เมื่อไขมันสลายแล้ว ก็จะไหลออกทางเข็มทางเข้าของสายเลเซอร์

…..ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นก็คือ Tumescent Technique เป็นการดูดไขมันแบบฉีดสารละลายระหว่างยาชา และยา Epinephrine เป็นวิธีที่มีการพัฒนาอย่างยาวนาน แน่นอนว่า วิธีนี้นี่แหละค่ะ ที่คุณจะได้รับบาดเจ็บน้อยกว่า ผิวหนังที่ถูกดูดไขมันออกไปจะเรียบเนียน ไม่ค่อยมีร่องรอยให้เห็น เลือดออกน้อย แถมยังมีรอยเขียวช้ำน้อยกว่าอีกด้วยล่ะค่ะ

8. ผลอยู่นานขึ้น ถ้าปฏิบัติตนถูกต้อง ระยะพักฟื้น ภายหลังจากที่ดูดไขมันจะสั้นหรือนานกว่าปกติ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง หากว่า คุณใช้ผ้ายืดรัดกระชับรูปทรง และลดความเร็วในการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็น เกิดลิ่มเลือดและเลือดคั่งได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหาร ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ควรใส่ใจ ควรหันมาทานอาหารเพื่อสุขภาพ จะดีกว่า เวลาที่จะเห็นผลอย่างชัดเจนก็ราวๆ 6 เดือน นั่นคือระยะเวลาที่คุณจะต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษเลยล่ะค่ะ

9. อาจมีผลข้างเคียง หากการดูดไขมัน กระทำโดยผู้ด้อยประสบการณ์ ก็จะส่งผล ให้เกิดอันตรายกันคนไข้ได้ อย่างเช่น การเกิดรอยไหม้ของไขมัน จากการ UAL (Ultrasonic-Assisted Liposucting) การอุดตันของลิ่มเลือดที่ปอด และอาการช็อคที่เกิดจากการทดแทนน้ำที่ไม่เหมาะสม ภายหลังจากการดูดไขมัน

10. อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น Marella O’Reilly CEO ของ HPCSA (Health Professions Council of South Africa) องค์กรผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุข กล่าวว่า การดูดไขมันต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ภายใต้เงื่อนไขและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะควรเท่านั้น

…..สาวๆ คนไหน คิดจะไป ดูดไขมัน ส่วนเกินออก ก็ควรทำการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการและสถานประกอบการณ์ก่อน รวมไปถึง สภาพร่างกายของตัวเองด้วยนะคะ นี่แหละค่ะ ที่สำคัญ หากร่างายคุณไม่พร้อม ไม่ว่าแพทย์เชี่ยวชาญแค่ไหน มันก็สามารถเกิดโอกาสเสี่ยงได่อย่างแน่นอนค่ะ

Credit >> http://women.mthai.com

4 สูตรไดเอทสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

4 สูตรไดเอท แบบใหม่ที่สาว ๆ ทั่วโลกกำลังนิยม ซึ่งทำได้ไม่ยาก แต่ต้องอาศัยความใส่ใจเป็นพิเศษบวกกับเทคนิคใหม่ ๆ ที่เรานำมาฝากในวันนี้ค่ะ

     สูตรไดเอท แบบ Abs Diet Power 12
เป็นการยึดหลักการทานอาหาร 12 อย่าง อันได้แก่ อัลมอนด์ , ถั่ว , ผักโขม , ผลิตภัณฑ์จากนม, ข้าวโอ๊ตกึ่งสำเร็จรูป , ไข่, ไก่งวง, เนยถั่ว, น้ำมันมะกอก, ขนมปังโฮลวีต, โปรตีนผง, ราสเบอร์รี่, หรือผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่าง ๆ และถ้าเอาตัวอักษรหน้าชื่ออาหารทั้งหมดมารวมกันก็จะได้คำว่า “Abs Diet Power” พอดีเป๊ะค่ะ

     โดยการกินอาหารทั้ง 12 ชนิดจะช่วยสลายไขมันสะสม และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญ ทำให้ไม่มีไขมันสะสมใหม่เพิ่มเข้ามาในร่างกายของเรา อีกทั้งแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้ เพราะร่างกายเราจำเป็นต้องมีวิตามินร่วมด้วยในการดูดซึมสารอาหารบางตัว และความหวานของน้ำผลไม้ยังช่วยให้คุณไม่หิว จะได้ไม่มีข้ออ้างหาของกินโดยไม่จำเป็น ที่สำคัญอีกอย่าง ก็ต้องดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว นอกจากนี้สูตรนี้ยังอนุญาตให้สาวที่ชอบปาร์ตี้ สามารถดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ได้อาทิตย์ละ 3 แก้วด้วยค่ะ

     สูตรไดเอท ตามสูตร Chocolate Diet

     เคล็ดลับของสูตรนี้อยู่ที่คาเฟอีนในช็อกโกแลต ซึ่งสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกายได้ ถ้ากินช็อกโกแลตแท้แบบไม่มีน้ำตาล หรือแบบที่มีน้ำตาลไม่เกินร้อยละ 40 จะเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในมื้อนั้นขึ้นอีกร้อยละ 15 และระหว่างวันถ้ากินช็อกโกแลตแบบน้ำตาลต่ำ ๆ ชิ้นเล็ก ๆ สักสองชิ้นก็จะทำให้คุณอยากของหวานน้อยลง

     สูตรไดเอท ด้วยสูตร Ginger Tea Diet
การไดเอทด้วยน้ำขิงนั้นเป็นวิธีตามแพทย์แผนอินเดีย ที่ยกย่องว่า “ขิง” คือสุดยอดที่สามารถรักษาได้สารพัดโรค และอุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดี ถ้าจิบระหว่างวันทุกวัน หรือกินหลังมื้ออาหารก็จะช่วยสลายไขมันสะสมได้เร็วขึ้น

     สูตรไดเอท ด้วยอินเทอร์เน็ต
หลายคนฟังแล้วก็คงจะสงสัยว่า อินเทอร์เน็ตมีส่วนช่วยในการไดเอทได้อย่างไร คำตอบก็คือ เพราะว่าการท่องโลกไซเบอร์ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ทีเกี่ยวกับการลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ แถมยังได้เจอเพื่อนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน ทำให้มีแรงกระตุ้นที่จะไดเอทอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จ ดังนั้นผู้หญิงที่เล่นอินเทอร์เน็ต จะไดเอทได้เร็วกว่าผู้หญิงที่ไม่เล่นอินเทอร์เน็ตเลย

Credit >> http://women.mthai.com

เคล็ดลับสำหรับการลดหุ่นให้ผอมเพรียว

ไม่ว่าจะเป็นสาวๆ คนไหน ก็อยากจะมีหุ่นที่สวยได้รูป ผอมเพรียวดูดี กันทั้งนั้น แต่จะใช้วิธีไหนดีล่ะ ที่จะรักษารูปร่างให้สวยได้รูป แบบได้ผล ไม่กลับมาอ้วนเผละอีก ไม่อยากค่ะ ถ้าหากว่า คุณสาวๆ อยากมีหุ่นที่ผอมเพรียวได้รูป มาลองทำตามเคล็ดลับ ลดหุ่น แบบง่ายๆ กันดูสิคะ รับรองได้ผลชัวร์ค๊าาา

ผักใบเขียว เคล็ดลับแรก ขอแนะนำเป็นเรื่องของอาหารก่อนเลยค่ะ เพราะในปัจจุบัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ มักจะหลีกเลี่ยงผักใบเขียวกันทั้งนั้น คุณสาวๆ ทราบมั้ยคะว่า ในผักใบเขียวนั้น จะมีไฟเบอร์สูงมาก ซึ่งแน่นอนค่ะว่า จะช่วยในเรื่องของระบบการขับถ่ายได้ดี แถมยังช่วยล้างสารพิษในร่างกายได้อีกด้วยนะคะ

เพิ่มเมลาโทนิน ร่างกายของคุณ ต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอ แต่ด้วยสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน ทำให้ร่างกายของคุณ ไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเสียงรบกวนจากรอบข้าง หรือจะเป็นภาวะความเครียดต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ดังนั้น เพื่อช่วยให้ร่างกายของคุณสาวๆ ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่…

นมอุ่น แนะนำให้คุณสาวๆ เลือกดื่มนมอุ่นๆ ก่อนเข้านอนเป็นประจำทุกวัน เพราะนมอุ่นๆ นั้น จะช่วยสร้างเมลาโทนินให้กับร่างกาย ทำให้รู้สึกสบาย เมื่อร่างกายของคุณสาวๆ นอนหลับสบาย อย่างเต็มที่ ร่างกายของคุณก็จะเร่งสร้างฮอร์โมน ที่จะไปช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ ทำให้คุณสาวๆ ดูสดใสขึ้น ไม่แก่ก่อนวัยด้วยล่ะค่ะ

กาแฟ การดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มที่ผสม กาเฟอีนนั้น จะสามารถช่วยกระตุ้น เมตาบอลิซึ่ม หรือที่เรียกว่า ระบบเผาผลาญในร่างกาย แน่นอนค่ะว่า ถ้าหากคุณสาวๆ ดื่มกาแฟบ้าง ก็จะสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ ยิ่งจังหวะของหัวใจเต้นเร็วเท่าไหร่ ระบบการเผาผลาญก็จะไวมากขึ้นเท่านั้นค่ะ (อ๊ะๆ แต่ไม่แนะนำให้ดื่มกันบ่อยๆ นะคะ เอาเป็นว่า เดือนละ 2-3 ครั้ง ก็น่าจะพอแล้วล่ะค่ะ)

การดื่มน้ำ สิ่งที่คุณสาวๆ ไม่ควรลืมเลยก็คือ การดื่มน้ำสะอาด ให้มากๆ นั่นเองค่ะ นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายของคุณสาวๆ ได้ชะล้างของเสียแล้ว ยังช่วยทำให้ร่างกายของคุณสาวๆ สดชื่น และสุขภาพผิวชุ่มชื้นได้อีกด้วยค่ะ

ช็อกโกแลต การไดเอ็ตนั้น ไม่ได้หมายความว่า คุณสาวๆ จะต้องอดขนมหวานไปซะทุกอย่างนะคะ งดเว้นบ้าง ถ้ารู้สึกอยากกินของหวานๆ ลองเลือกช็อกโกแลตแท่ง มากระตุ้น ให้หายอยากกันซะหน่อยจะดีกว่า เพราะถ้าหากว่า คุณสาวๆ เลิกกินเด็ดขาดนั้น อาจจะทำให้แผนการไดเอ็ต ล้มเหลวได้ เพราะอาการอยากกินจนห้ามไม่อยู่นั่นเองค่ะ

เสริมตัวช่วยย่อย ถ้าหากว่าคุณสาวๆ มีปัญหาเรื่องระบบการย่อย ขอแนะนำให้คุณสาวๆ เรียกอาหารที่สามารถช่วยทำให้ระบบการย่อยดีขึ้น อย่างเช่น ลูกพรุน หรือชาอุ่นๆ นอกจากจะช่วยทำให้ระบบการย่อยดีขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยเคลียร์ระบบภายในร่างกาย ให้ขับของเสียออกมาได้ด้วยล่ะค่ะ

เซลารี่ หรือขึ้นฉ่ายฝรั่ง สาวๆ หลายคนอาจจะเมินหน้าหนี แค่ได้ยินก็ไม่อยากจะนึกถึงแล้ว…แต่คุณสาวๆ ทราบรึป่าวคะว่า เซลารี่นั้น เหมาะมากๆ เลยล่ะค่ะ ที่คุณสาวๆ จะเลือกทานเป็นของว่าง เพราะมีจุดเด่นที่สามารถช่วยในเรื่องของ
การเผาผลาญแคลอรี่ได้เป็นอย่างดี อยากหุ่นเพรียวสวย ลองหันมาทานเซลารี่กันดูสิคะ รับรองได้ผลชัวร์ค๊าาา

กล้วย ผลไม้ที่ทานง่าย รสชาติดี ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนๆ ก็สามารถทานได้ตลอด ประโยชน์เยอะ วิตามินสูง สารอาหารที่ได้จากกล้วย จะช่วยกระตุ้นพลังงาน ให้กับร่างกาย เมื่อคุณสาวๆ ทานกล้วยแล้ว ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ก็จะยิ่งช่วยทำให้ได้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้น เพราะร่างกาย จะเกิดการเผาผลาญ โดยนำเอาแป้งและคาร์โบไฮเดรตไปใช้ได้อย่างเต็มที่นั่นเองค่ะ

หมากฝรั่ง หนึบๆ หนับๆ หมากฝรั่งนอกจากจะช่วยดับกลิ่นปากของคุณได้แล้ว ยังมีประโยชน์ ช่วยในเรื่องของการเผาผลาญและอาการอยากทานอาหาร ได้อีกด้วยนะคะ อ๊ะๆ แต่อย่าเผลอเคี้ยวนานเกินไปนะคะ เพราะอาจจะส่งผลเสีย ทำให้เกิดกรดในกระเพาะของคุณได้ค่ะ

เพิ่มโปรตีน สาวๆ หลายคน มัวแต่ห่วงเรื่องน้ำหนัก ลดและอดอาหารจนลืมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โปรตีน กันไป การทานเนื้อสัตว์นั้น มีความจำเป็นมากนะคะ เพราะถ้าหากว่า คุณสาวๆ เลือกทานเฉพาะผัก ผลไม้ หลีกเลี่ยงที่จะทานเนื้อสัตว์ นั่นอาจจะส่งผลทำให้ร่างกายของคุณ ขาดสารอาหารได้ ลองเปลี่ยนจากการทอดมาเป็นย่างแทนสิคะ แล้วเน้นเป็นเนื้อปลาแทน อย่างเช่น เนื้อปลาแซลมอน หรือจะเป็นเนื้อไก่ ก็ได้ค่ะ โปรตีนสูง ไขมันน้อย ได้ประโยชน์มากเหมือนกัน แต่ถ้าหากว่า คุณสาวๆ คนไหนชอบทานมังสวิรัตล่ะก็ ขอแนะนำให้เพิ่มการทานถั่วเหลือง เป็นการทดแทนเนื้อสัตว์นะคะ

…..เคล็ดลับง่ายๆ ทำตามกันได้ไม่ยากใช่มั้ยคะคุณสาวๆ ลองเอาไปทำตามกันดูนะคะ เพื่อรูปร่างที่เพรียวสวย แข็งแรง สมบูรณ์แบบกันอย่างทั่วหน้าค่ะ

Credit >> http://women.mthai.com

การลดน้ำหนักด้วยอาหารเช้า

มื้อเช้าก็เป็นมื้อสำคัญที่สาวๆ women mthai ไม่ควรมองข้ามนะคะ บางคนอยากผอม อยาก ลดความอ้วน อย่าคิดที่จะอดอาหารเชียวนะ บางคนอาจทรมานตัวเองด้วยการอดมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น แต่มื้อที่คุณขาดไม่ได้เลยนั้นคือ อาหารเช้า และนี่คือเมนูอาหารเช้าที่ช่วยคุณได้ในช่วงลดน้ำหนักแบบได้ผลอย่างแน่นอน

1. ข้าวโอ๊ต
เป็นหนึ่งในเมนูแนะนำของมื้อเช้าเลย เหมาะกับคนทุกวัยและทุกรูปร่าง เป็นตัวช่วยสำคัญในการทำความสะอาดระบบการย่อยในทางเดินอาหาร เรียกได้ว่าเคลียร์พื้นที่ในลำไส้นั่นแหละ ช่วยลดปริมาณระดับคอเลสเตอรอลที่ร่างกายจะได้รับเข้ามา ข้าวโอ๊ตหนึ่งถ้วยใส่นม หรือเติมช็อกโกแลตด้วยเล็กน้อยก็พอช่วยให้คุณอิ่มท้องได้แล้ว คาร์โบไฮเดรตในข้าวโอ๊ตช่วยเติมพลังให้คุณได้โดยที่ไม่มีแคลอรีสูงด้วย

2. ผลไม้สด
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ เติมความสดชื่นด้วยผลไม้สด ๆ ชุ่มฉ่ำ เป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายและขจัดสารพิษตกค้าง องุ่นสักพวง แอปเปิ้ลสักลูก หรือกีวีฝาน ช่วยให้ทั้งพลังงานและเติมความสดชื่น กินคู่กับนมหรือกาแฟสักแก้ว ก็จะได้สุดยอดอาหารเช้าไดเอ็ตแล้ว

3. ซีเรียลกับนม
สองคู่หูแสนอร่อย โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ๆ คอร์นเฟล็กซ์กับนมอย่างง่าย ๆ นี้ให้พลังงานกับร่างกายคุณได้แน่นอน โดยไม่เพิ่มไขมันที่คุณย่อมไม่ต้องการ อาจเติมผลไม้ลงไปสักหน่อย เช่น พีช เบอร์รี่ หรือแอปเปิ้ล เป็นอาหารเช้าอย่างง่าย ๆ ที่ดีต่อการไดเอ็ตอย่างมาก

4. สลัดผัก
เหมาะกับช่วงหน้าร้อนอาจเป็นเมนูที่น่าเบื่อสำหรับบางคน แต่ก็ไร้ไขมันส่วนเกินนะ กินคู่กับผลไม้และนมสักหน่อยก็ช่วยให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงได้ การกินผักสดตั้งแต่หัววันเป็นเรื่องดีมาก เพราะเป็นการเปิดทางให้ระบบย่อยอาหารนั้นโล่งสะดวก พร้อมรับอาหารในตลอดทั้งวันที่เหลือ

 5. มิลค์เชค
นม ชา หรือกาแฟปั่นนั้น เหมาะกับคนที่ชอบดื่มพวกชา และกาแฟมาก เพราะให้แคลอรีค่อนข้างสูงพอที่จะเติมพลังให้คุณ แต่ต้องคอยควบคุมน้ำตาล อย่าให้หวานเกินไปล่ะ เพราะจะกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้

Credit >> http://women.mthai.com

มะนาวช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่

เราเก็บเคล็ดลับดี ๆ จากคอลัมน์ The Lemon Juice Diet ของหนังสือ New Book ที่นักเขียนสาว เธเรซา เชียง ได้ให้คำแนะนำกับปัญหาโรคอ้วน ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการรับประทานมะนา

มะนาว ถูกกล่าวขานว่ามีสรรพคุณในการลดความอ้วนได้อย่างดีที่สุด หากคุณทำตามกฎหลักทั้ง 3 ข้อนี้ คุณจะน้ำหนักลดลงได้ดั่งใจปรารถนา

1. ดื่มน้ำ มะนาว กับน้ำอุ่นทุก ๆ เช้า
เพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดียิ่งขึ้น มะนาว เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ได้ แต่มันยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนา แนะนำมาว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มาก จะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มะนาว ยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน ผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมาก ๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น

2. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด
เพราะผักและผลไม้ทุกประเภท จะมีปริมาณแคลอรีที่น้อยมาก แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใย และสารอาหารที่ครบครัน จะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างสงบลง

3. ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
โดยการบีบน้ำ มะนาว ลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือผสมเปลือก มะนาว ลงไปในซุปหรือสลัด และบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลา และเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่า มะนาว คือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุด เพราะ มะนา วจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย

นอกจากนี้ผลการศึกษาของวิทยาลัย Journal of the America College of Nutrition รายงานว่า คาร์โบไฮเดรตที่พบในผิวเปลือกของ มะนาว จะสามารถกำจัดความอยากกินให้ลดลงได้ถึง 4 ชั่วโมง เปลือกมะนาวเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ที่ดีที่สุด ช่วยให้ระบบย่อยอาหารสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่คุณกินมัน คุณจะรู้สึกอิ่มไปอีกนานเลยทีเดียว

Credit >> http://women.mthai.com

3 เคล็ดลับสำหรับลดน้ำหนักของสาวญี่ปุ่น

ปกติอาหารญี่ปุ่นก็ขึ้นชื่อเรื่องไขมันน้อยอยู่แล้ว แต่สาวปลาดิบก็ยังยอมรับว่าวิธี ไดเอท นี้จะช่วย ลดความอ้วน ได้เร็วกว่าแค่กินอาหารประจำชาติอย่างเดียว
   1. ไดเอท ด้วย กะหล่ำปลี
วิธีลดน้ำหนักสูตรนี้กำลังเทรนดี้อย่างแรงในหมู่สาวอวบของญี่ปุ่น แถมยังมีคนเอาไปออกรายการทีวีบ่อยๆ ที่สาวๆ นิยมเพราะมันทำง่าย ไม่ต้องลงทุนหนักๆ ปลอดภัยเพราะคิดค้นโดยนายแพทย์และยังเห็นผลเร็ว

How It Work กะหล่ำปลี ที่ใช้ต้องเป็นกะหล่ำสดๆ ลงทุนไม่กี่บาท 1 หัวใหญ่ เอามาตัดแบ่งเป็น 4 ซีก แล้วทานที่ละ 1 ซีก กับน้ำสลัดไขมันต่ำก่อนมื้ออาหารทุกมื้อ กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีส้นใยอาหารสูงมาก เมื่อกินเข้าไปจะทำให้หนักท้อง แทบไม่ต้องทานข้าวตามก็อิ่มได้ ช่วยให้กินน้อยลงโดยปริยาย ถ้าทนทำติดต่อกันได้จะไม่ผอมคงไม่ได้แล้วล่ะ

   2. ไดเอท ด้วย แครอท และ อกไก่
สูตรนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบ ไดเอท เพราะกินเท่าไรก็ได้ โดยไม่รู้สึกว่ากำลังจำกัดอาหารอยู่ แครอทมีไฟเบอร์ทำให้อิ่มท้อง ส่วนเนื้อบริเวณอกไก่ก็แทบจะไม่มีไขมันเลย ขออย่างเดียวอย่ากินติดหนังเท่านั้น

How It Work เปลี่ยนมื้อเย็นของทุกๆ วันเป็นแครอทกับอกไก่ย่างแทน โดยใช้แครอทมื้อละ 1-2 หัว จะกินสดๆ หรือเอาไปต้มก่อนก็ได้ ส่วนอกไก่เป็นเมนูส่วนตัวของคุณ จะปรุงรสไหน หมักซอส หมักเกลือ ต้ม ย่าง อบ เชิญตามชอบ

3. ไดเอท ด้วย กล้วยหอม กับ น้ำเปล่า
นี่ก็สูตรยอดฮิต เพราะทำง่ายได้ผลเร็ว และกล้วยหอมยังเป็นผลไม้มากคุณค่า เหมาะสำหรับสาวๆ ทุกวัย

How It Work เลิกกินมื้อเช้าตามใจปากอย่างที่เคยทำ แล้วหันมากินกล้วยหอม 2-3 ผลกับน้ำเปล่าหลายๆ แก้วแทนเมื่อเส้นใยในกล้วยหอมเจอกับน้ำเปล่า มันจะไปขยายตัวในท้องคุณ และช่วย ดีท็อกซ์ ลำไส้ให้สะอาด สลายไขมันที่อุดตันอยู่ในเส้นเลือดออกมาจากนั้นก่อนเข้านอน 4 ชั่วโมง จะพยายามไม่กินอะไรอีกเลยยกเว้นกล้วยหอมกับน้ำเท่านั้น และระหว่างวันถ้าหิวแทนที่จะคว้าขนมนมเนยเข้าปากเหมือนเคย ก็พึ่งกล้วยหอมนี่แหละ

Credit >> http://women.mthai.com

8 เคล็ดลับของสาวผอมหุ่นดี

ขณะที่คนซึ่งน้ำหนักเกินส่วนใหญ่มักจะหมกหมุ่นกับเรื่องการกินมากกว่า ลองมาแอบดูว่าคนผอมๆ ทำหรือไม่ทำอะไร แล้วคุณจะเลียนแบบพวกเธอได้ยังไงบ้าง

1. พวกเธอเลือกอาหารที่ทำให้พึงพอใจมากกว่าอิ่มจนแน่นท้อง
ในอัตราส่วนความอิ่มจาก 1 ถึง 10 ผู้หญิงรูปร่างผอมจะหยุดกินเมื่อถึงระดับ 6 หรือ 7 ขณะที่คนส่วนมากมักกินต่อไปจนถึงระดับ 8 หรือ 10 มันอาจเพราะคุณสำคัญผิดระหว่างความอิ่มกับความพึงพอใจ หรือคุณอาจเคยชินกับการกินทุกอย่างตรงหน้าจนหมดเกลี้ยงไม่ว่าคุณจะต้องการมันจริงๆ หรือไม่ก็ตาม

วิธีเลียนแบบ เพื่อกินแบบเดียวกับผู้มีรูปร่างผอม วางช้อนลง และประเมินความอิ่มจากอัตราส่วน 1 ถึง 10 ทำแบบเดียวกันอีกครั้ง เมื่อเหลือสักห้าคำ เป้าหมายก็คือเพิ่มความรู้ตัวถึงความพึงพอใจของตัวเองในระหว่างการกิน (มันยังทำให้คุณกินช้าลงซึ่งให้โอกาสความอิ่มส่งสัญญาณเข้ามา)

2 . พวกเธอรู้ว่าความหิวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
คนส่วนใหญ่ที่ดิ้นรนกับเรื่องน้ำหนักตัวมักมองความหิวเป็นสิ่งที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนั้น ถ้าคุณกลัวความหิว คุณอาจกินมากเกินไปอยู่เสมอ แต่คนผอมๆ จะทนได้มากกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงมัน

วิธีเลียนแบบ เลือกวันที่ยุ่งๆ เพื่อชะลอเวลาอาหารกลางวันออกไปอย่างจงใจสักหนึ่งหรือสองชั่วโมง หรือลองพยายามงดของว่างมื้อบ่ายสักหนึ่งวัน คุณจะเห็นได้ว่าตัวเองก็ยังสบายดีอยู่ จากนั้น ครั้งต่อไปที่คุณได้ยินเสียงท้องร้อง คุณจะหยุดตัวเองไม่ให้ตรงดิ่งไปยังตู้เย็นในทันทีได้

3. พวกเธอไม่ใช้อาหารเพื่อเยียวยาอารมณ์เศร้า
ไม่ใช่ว่าผู้หญิงรูปร่างผอมบางมีภูมิด้านทานต่อการกินตามอารมณ์ แต่พวกเธอมักจะรู้ตัว เวลาที่ทำอย่างนั้นและหยุดมันได้

วิธีเลียนแบบ ถ้าคุณหิวจริงๆ กินของว่างที่มีประโยชน์ อย่างเช่นถั่วหนึ่งกำมือ เพื่อหยุดตัวเองเอาไว้ ก่อนรออาหารมื้อต่อไป แต่ถ้า คุณหงุดหงิด เหงา หรือเหนื่อย ลองหาทางออกที่ปราศจากแคลอรี่ เช่น ออกไปวิ่งหรือกระโดดโลดเต้นไปมารอบๆ อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ความโกรธหายไป เหงาก็โทรหาเพื่อน หรือไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าหรือถ้าเหนื่อยก็ไปนอนเสียดีกว่า

4. พวกเธอกินผลไม้มากกว่า
งานวิจัยเมื่อปี 2006 ใน Journal of the American Dieletic Association ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงรูปร่างผอมบาง มักกินผลไม้มากกว่าหนึ่งครั้งในแต่ละวัน กินเส้นใยอาหารมากกว่าและกินไขมันน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนอ้วน

วิธีเลียนแบบ ลองเริ่มสำรวจการกินของคุณเพื่อหาทางเพิ่มผลไม้ (ไม่ใช่น้ำผลไม้นะ) เข้าไป ตั้งเป้ากินให้ได้สองหรือสามส่วนต่อวัน เช่น เพิ่มผลไม้ลงไปในอาหารแต่ละมื้อ หรือกินผลไม้เป็นของหวาน

5. พวกเธอสร้างความเคยชิน
การกินอาหารหลากหลายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหลากหลายมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินอาหารที่มีรสชาติแตกต่างกันมากเกินไปทำให้คุณยิ่งกินมากขึ้น คนผอมมักจะมีรูปแบบของการกินที่วางแผนมาแล้วอย่างดี มีของแปลกๆ เพิ่มเข้ามา 2-3 อย่าง แต่ส่วนใหญ่อาหารของพวกเธอจะคาดเดาได้

วิธีเลียนแบบ ลองกินอาหารหลักๆ ซ้ำกันในแต่ละมื้อ เช่น กินซีเรียลตอนเช้า กินสลัดตอนกลางวัน กินปลาตอนเย็น เป็นต้น มันโอ.เค. ที่จะเพิ่มทูน่าหรือไก่ย่าง เข้าไปกับสลัดผักในบางวัน แต่การกินกับอาหารหลักๆ ที่เดาได้ คุณจะจำกัดโอกาสที่จะกินมากเกินไปได้

6. พวกเธอรู้จักการควบคุมตัวเอง
งานวิจัยที่มหาวิทยาลัย Tufts พบว่า ปัจจัยที่ทำนายได้ถึงการมีน้ำหนักขึ้นของผู้หญิงในวัย 50 และ 60 คือระดับของความยับยั้งชั่งใจ ผู้หญิงที่มีความยับยั้งชั่งใจสูงจะมีดัชนิมวลกายต่ำกว่า

วิธีเลียนแบบ เตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่คุณมักจะขาดความยับยั้งชั่งใจอย่างมาก เช่น ท่ามกลางบรรยากาศการเฉลิมฉลองหรือเวลาอยู่กับเพื่อน ถ้าคุณชอบกินตอนงานเลี้ยง บอกตัวเองว่าคุณจะกินของว่างแค่หนึ่งชิ้นในรอบที่สี่ ซึ่งมันถูกส่งผ่านมา ถ้าคุณกินมื้อค่ำนอกบ้านลองสั่งอาหารมาแบ่งกันกับเพื่อน หรือถ้าคุณเครียด ก็ให้แน่ใจว่าคุณมีของว่างที่เคี้ยวได้ (อย่างเช่น ผลไม้หรือแครอตแท่ง) เอาไว้ใกล้มือ

7. พวกเธอชอบเคลื่อนไหว
โดยเฉลี่ยผู้หญิงรูปร่างผอมจะยืนมากกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งในแต่ละวัน ที่สามารถช่วยเผาผลาญได้ 33 ปอนด์ต่อปี นี่เป็นผลจากการศึกษาของลินิกเมโย ในเมืองโรเชลเตอร์ สหรัฐฯ

วิธีเลียนแบบ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนเรามักประเมินความแอ็คทีฟของตัวเองเกินจริง คนส่วนใหญ่มักใช้เวลา 16-20 ชม. ในแต่ละวันไปกับการนั่ง ใส่เครื่องนับก้าวเพื่อดูว่าคุณเข้าใกล้จำนวน 10,000 ก้าวแค่ไหน และในแต่ละวันคุณควรออกกำลัง 30 นาที รวมกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่น การเดินขึ้นบันได

8. พวกเธอนอนหลับสนิท
ผู้หญิงที่ผอมบางมักนอนมากกว่า 2 ชม. ต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับคนน้ำหนักเกิน งานวิจัยของโรงเรียนแพทย์อีสเทิร์นเวอร์จิเนียบอกเช่นนั้น นักวิจัยเชื่อว่าการนอนน้อยทำให้ระดับของฮอร์โมนที่ช่วยกดความอยากอาหาร (Lepfin) ต่ำลง และระดับของฮอร์โมนที่เพิ่มความอยากอาหาร (Ghrelin) สูงขึ้น

วิธีเลียนแบบ ลองชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็คือประมาณ 17 นาที/ต่อวัน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายกว่ามาก แม้คุณจะงานยุ่งเพียงใดก็ตาม เริ่มต้นตรงนั้นและค่อยๆ เพิ่มเวลานอนให้ได้วันละ 8 ชม. ในแต่ละคืน ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใหญ่ส่วนมาก

Credit >> http://women.mthai.com

มันฝรั่งช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่

เนื่องจากเนื้อของ มันฝรั่ง สามารถดูดซับเครื่องปรุงต่างๆ โดยเฉพาะน้ำมันเข้าไว้ในเนื้อได้มากถึงร้อยละ 30-40 จึงเป็นที่มาของห่วงยางรอบเอว รู้อย่างนี้แล้ว เรามาเรียนรู้เทคนิคปรุง มันฝรั่ง ให้อร่อย ปลอดภัย ห่างไกลโรคอ้วนกันค่ะ

อาจารย์นิพนธ์ ฉิมเฉลิม นักโภชนาการอิสระ แนะนำว่า “เราสามารถนำ มันฝรั่ง มาทำอาหารสุขภาพได้หลายอย่าง เช่น ต้มให้สุกแล้วบด จากนั้นโรยเกลือและพริกไทยป่นเล็กน้อย หรือถ้าอยากให้มีกลิ่นหอมมากขึ้น ควรนำส่วนผสมที่ได้ห่อกระดาษฟรอยด์แล้วนำเข้าอบในเตาอบ บดเนื้อ มันฝรั่ง ต้มสุกผสมในน้ำแกง เช่น เมนูหัวปลาต้มเผือก จะทำให้น้ำแกงเข้มข้นขึ้น หรือทำเป็นขนม โดยใช้แทนมันเทศหรือเผือก เช่น บัวลอยเผือก มันทิพย์ เผือกทิพย์ ก็ได้”

แท้จริงแล้ว มันฝรั่ง เป็นอาหารสำหรับผู้ต้องการ ลดน้ำหนัก(และควบคุมระดับน้ำตาล ในเลือดชนิดหนึ่ง) เพราะให้แคลอรี่ต่ำ มันฝรั่งต้ม 100 กรัม ให้พลังงานเพียง 75-80 แคลอรี่เท่านั้น นอกจากนี้ มันฝรั่ง ยังอุดมไปด้วยวิตามินซี โพแทสเซียม วิตามินบี 1 และวิตามินบี 6

การปรุง
“ต้อง ล้างให้สะอาดก่อนนำมาต้มหรืออบ และควรปรุงทั้งเปลือกเพื่อรักษากลิ่นหอมของมันฝรั่งไว้ และยังช่วยรักษาวิตามินซีในเนื้อไม่ให้ถูกทำลายไป ส่วนน้ำที่ต้มมันฝรั่ง อย่าทิ้ง เก็บไปทำน้ำซุปได้”

การเลือกซื้อ
เลือกหัวที่มีสี เหลืองทอง ไม่มีปุ่มตาของรากที่กำลังงอกหรือหัวที่มีจุดสีเขียวอ่อน นั่นแสดงว่า เป็น มันฝรั่ง ที่เก็บไว้นาน เนื้อจะไม่อร่อย มันฝรั่ง ที่มีจุดเขียวๆ และมีรากงอกออกมามีส่วนประกอบของสารอัลคาลอยด์ (alkaloid) ที่เรียกว่า ซาโคนีน (chaconine) และโซลานีน (solanine) ซึ่งหากมีปริมาณมากเกินไปจะเป็นพิษร้ายแรงได้ จึงควรคัดหัวที่มีจุดเขียวทิ้งไป สำหรับผู้แพ้สารโซลานีน แม้ได้รับเข้าไปเพียงเล็กน้อยก็อาจำให้เป็นไมเกรนได้

การเก็บ
“ไม่ควรนำ มันฝรั่ง ไปแช่ตู้เย็น เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการงอกของรากอย่างรวดเร็ว ควรวาง มันฝรั่ง ไว้ในห้องอุณหภูมิปกติและอากาศถ่ายเทสะดวก” กิน มันฝรั่ง และผักชนิดอื่นๆ หมุนเวียนกันไป ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้หุ่นดี แต่อย่าลืมนอน พักผ่อน ออกกำลังกาย และทำงานให้สมดุลด้วยค่ะ

Credit >> http://women.mthai.com/

5 วิธีการลดน้ำหนักที่แย่ที่สุด ที่คุณควรหลีกเลี่ยง

การมีรูปร่างที่อ้วนเกินไปนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เพราะอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน หรือมีปัญหากับกระดูกที่อาจจะรับน้ำหนักตัวไม่ไหวได้ แต่การตั้งหน้าตั้งตา ไดเอท มากจนเกินความพอดีก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่ามีวิธีไดเอท แบบไหนบ้างที่ไม่ควรทำตาม

1. ไดเอทด้วยการกินอาหารแค่บางประเภท

เช่น ซุปกระหล่ำปลี หรือ องุ่น แต่จะกินสักกี่ถ้วย ถึงจะพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะ คนเราต้องการ สารอาหารหลากหลายประเภท ถ้ากินอาหารประเภทนี้ซ้ำๆ อาจจะช่วยลดน้ำหนักได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่คุณก็จะกลายเป็น โรคขาดสารอาหารไปในทันที

2. ไดเอทดีท็อกซ์

เชื่อกันว่า เป็นการล้างสารพิษออกจากร่างกาย จริงแล้วเปล่าเลย มันกลับเป็นวิธีที่ดูโง่ที่สุด และไม่มีผล ทางวิทยาศาสตร์ ที่วิเคราะห์แล้วว่าดี

จริงๆ แล้วอวัยวะในร่างกายของเราดีอยู่แล้ว มีระบบฟอกกรองของเสียของร่างกาย เช่น ตับ และปอด โดยไม่จำเป็น ต้องใช้วิธีดีท็อกซ์ในการล้างสารพิษ ฉะนั้น ปล่อยให้มันเป็นไปตาม กระบวนการทำงานของร่างกายดีกว่า

3. ไดเอทด้วยอาหารหรือยามหัศจรรย์

ลืมไปได้เลยว่า จะมีอาหารหรือยาชนิดไหน สามารถช่วยลดความอ้วนของคุณได้ในระยะเวลายาว โดยที่กินแล้ว ไม่มีผลกระทบข้างเคียง คุณอาจจะกินวิตามินเสริมไปกับการลดน้ำหนักได้ แต่แนะนำว่ารับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์จะดีกว่า

4. ไดเอทที่ต้องอด

กลายเป็นค่านิยมสำหรับสำหรับผู้ที่อยากลดน้ำหนักไปแล้ว แต่ไม่ได้ เกิดประโยชน์เลย เพราะถ้าคุณกินอาหารไม่เพียงพอ ก็จะกลายเป็น โรคขาดสารอาหาร ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และเมื่อคุณเลิกอดอาหาร กลับมาทานปกติ ระบบเผาผลาญก็จะแปรปรวน จนเกิดโยโย่เอฟเฟ็กต์ และกลับมาอ้วนอีก

5. ไดเอทที่ฟังดูดีเกินกว่าจะเป็นจริง

ถ้ามันฟังดูดีจนเกินไปจนไม่น่า ทำได้จริง มันก็คงเป็นเช่นนั้น แผนการไดเอท ที่อ้างถึง “ความลับ” บางอย่างที่ตรงข้าม กับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ มันก็อาจเป็นความลับที่เป็นไปไม่ได้ก็ได้

Credit >> http://women.mthai.com

วิธีการลดน้ำหนักให้ได้ผลแบบแน่นอน

ต้องรู้…ก่อนลดน้ำหนัก

หลักการง่ายๆ ที่เราเน้นกันบ่อยๆ ครับ ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เปลี่ยนแปลง คุณควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลอรีเท่ากับที่ใช้ออกไปในแต่ละวัน น้ำหนักตัวที่ได้ก็จะมีค่าคงที่ ในกรณีที่ต้องการให้น้ำหนักตัวลดลง จำเป็นต้องใช้พลังงานออกไปมากกว่าการได้รับพลังงานเข้ามา

ในทางตรงข้ามถ้ารับประทานอาหารเข้าไปมากเกินความต้องการของร่างกาย พลังงานหรือแคลอรีส่วนเกินจะถูกเก็บสะสมในรูปของไขมัน พบว่าการเผาผลาญไขมัน 0.45 กิโลกรัม (1 ปอนด์) จำเป็นต้องใช้พลังงานถึง 3,500 แคลอรีโดยประมาณเชียวครับ

การลดน้ำหนักให้ได้ผล ควรประกอบไปด้วย 3 วิธีดังนี้

1. ลดปริมาณอาหารหรือแคลอรีที่รับประทานเข้าไปให้ต่ำกว่าปกติ แต่รักษาระดับของการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายให้คงที่

2. รักษาระดับของอาหารหรือแคลอรีที่รับประทานเข้าไปให้คงที่ แต่เพิ่มการใช้พลังงานมากขึ้นกว่าปกติ

3. ปริมาณอาหารหรือแคลอรีที่รับประทานเข้าไปลง และเพิ่มการใช้พลังงานมากขึ้นในแต่ละวัน

ข้อควรจำ : น้ำหนักที่เหมาะสมในการลดน้ำหนักควรอยู่ระหว่าง 0.45-0.90 กิโลกรัม (1-2 ปอนด์) ต่อสัปดาห์ จะไม่มีผลต่อการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และไม่ทำให้ร่างกายเกิดความเครียดมากเกินไป

วิธีออกกำลังกายเพื่อควบคุมและลดน้ำหนัก
การออกกำลังกายนอกจากจะต้องคำนึงถึงรูปแบบโปรแกรมที่ปลอดภัยและมีประสิทธิผลแล้ว ควรกำหนดโปรแกรมที่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องตลอดไปด้วย เท่าที่พบมาประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่บริหารร่างกายเพื่อการลดน้ำหนัก มักจะเลิกออกกำลังกายกลางคันในเวลาสั้นๆ ทำให้การออกกำลังกายไม่ได้ผลอย่างที่ควรเป็น ดังนั้นใครที่กำลังจะเริ่มต้นออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ผมมีวิธีมาแนะนำดังต่อไปนี้ครับ

- ค่อยๆ เริ่มช้าๆ ดูระดับความแข็งแรงและความสามารถของตนเอง อย่าใจร้อนออกกำลังกายหักโหม เพราะอาจได้รับบาดเจ็บและผลที่ได้อาจไม่เป็นไปอย่างที่คิด ทำให้ท้อแท้จนถึงกับเลิกออกกำลังกายไปเลย ถ้าเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวมากๆ ควรเริ่มด้วยการออกกำลังกายแบบมีแรงกระแทกต่ำ เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ เป็นต้น
- ตั้งเป้าหมาย เริ่มจากสั้นๆ ก่อนถ้าทำได้แล้วค่อยๆ เพิ่มเป้าหมายให้ยาวขึ้นหรือหนักขึ้น เช่น ตั้งใจว่าจะเดินออกกำลังกายให้ได้ 25 นาทีในช่วงเดือนแรกและลดน้ำหนักให้ได้ 2-4 กิโลกรัม หลังจากนั้นเข้าร่วมออกกำลังกายในคลาส
ปั่นจักรยานให้ครบ 50 นาทีภายในเดือนที่ 3 และลดน้ำหนักลงให้ได้ 6-12 กิโลกรัม
- มีการบันทึกตารางการออกกำลังกาย เพื่อดูผลความก้าวหน้า ให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจ
ในการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องต่อไป
- ควรจัดตารางเวลาของการออกกำลังกาย ไว้ในชีวิตประจำวันให้ได้ คุณสามารถเลือกทำกิจกรรม 2 อย่างพร้อมกันในเวลาเดียว เช่น วิ่งบนลู่วิ่งในเวลาที่ต้องดูข่าวทีวี เป็นต้น
- เลือกสถานที่ออกกำลังกายที่สะดวกต่อการเดินทาง
- ข้อนี้สำคัญที่สุดครับ คือ ควรหากิจกรรมออกกำลังกายที่คุณจะรู้สึกชอบและสนุกไปกับมัน เพื่อที่จะปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องและตลอดไปครับ

Credit >> http://women.mthai.com/

7 เคล็ดลับในการเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกาย

ถ้าสาวๆ อยากได้รูปร่างสวยเพรียว นอกจากจะต้องเอาจริงกับมันแล้ว ยังต้องมีวิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้องด้วย

1. งดอาหารที่มีไขมันอย่างเด็ดขาด

วิธีนี้จะช่วยให้หน้าท้องลดลงได้ดีที่สุด เพราะหน้าท้องของเราจะเป็นที่แรกที่ร่างกายจะเอาไขมัน ส่วนเกิน มาสะสมไว้

2. จำกัดปริมาณอาหารเรียงกันไปในแต่ละมื้อ

ทานมื้อเช้าให้มากที่สุด มื้อกลางวันรองลงมา ส่วนมื้อเย็นควรเป็นมื้อที่ทานน้อยที่สุด หรือกินแค่ผลไม้หรือสลัดผักสักจานก็พอแล้ว

3. ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์

แต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 30 นาที สาวๆควรจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การเผาผลาญไขมันส่วนเกินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสลายไขมันได้แล้ว การออกกำลังกายต่อไปก็จะทำให้กล้ามเนื้อกระชับและป้องกันไม่ได้ไขมันกลับมาอีก

4. สำหรับการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักนั้น

จะต้องเน้นที่การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะด้วยจึงจะได้ผลดี เช่น เต้นแอโรบิก วิ่ง ว่ายน้ำ

5. ถ้าสาวๆ อยากจะออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อลดหน้าท้อง

ควรจะทำในช่วงเช้าจะได้ผลดีที่สุด เพราะในตอนเช้าเป็นเวลาที่ระบบต่างๆ ในลำไส้กำลังทำงาน ถ้าได้ออกกำลังกายก็จะยิ่งเสริมการเผาผลาญบริเวณนี้ให้มากขึ้น

6. สำหรับท่าบริหารลดหน้าท้อง

ไม่ว่าจะเลือกทำท่าใดก็ตาม ควรจะทำไม่ต่ำกว่าเซ็ตละ 15 ที จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนเซ็ตขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง 3 เซ็ตใน 1 ครั้ง

7. ถ้าจะลดหน้าท้องให้ได้ผล

หัวใจหลักอยู่ที่การทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ถ้าท่าลดหน้าท้องที่สาวเลือกใช้ทำไม่ได้ตามนี้ ก็แสดงว่าท่านั้นเป็นท่าที่ไม่ได้ผลหรือต่อให้ออกกำลังกายอย่างหักโหม แต่หน้าท้องไม่ได้เคลื่อนไหวเลย ก็เท่ากับว่าเสียแรงเปล่าอยู่ดี

Credit >> http://women.mthai.com