วีธีลดรอบเอว

ใครอยากมีเอวบางร่างน้อย สวมใส่อะไรก็สวย ดูดี มาปฏิบัติตัวตามวิธีต่อไปนี้กันดีกว่า แต่ก่อนที่จะทำอะไรลองมาหาคำตอบจากคำถามเหล่านี้กันดูก่อน

มีรอบเอวเกินขนาด หมายถึงอะไร ?

รอบเอวของเราจะเล็กหรือจะใหญ่นั้น เกิดจากไขมันในช่องท้อง ผลการวิจัยพิสูจน์ได้ว่า เอวของคนเราที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 5 เซนติเมตร นั้น มีโอกาสทำให้คนๆ นั้นเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้ถึง 3-5 เท่า และยังเป็นเหตุของโรคร้ายต่างๆ อีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และมีโอกาสทำให้หลอดเลือดในสมองอุดตันหรือแตกได้ โรคทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่การเสียชีวิต มีการคาดการณ์กันไว้ว่าในปี 2563 จะมีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคร้ายดังกล่าวมากถึง 25 ล้านคน จะยังพบว่ามีแนวโน้มที่ป่วยจะมีอายุน้อยลงไปเรื่อยๆ

สาเหตุสำคัญเกิดจากนิสัยที่เคยชิน ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวร่างกายกันเท่าที่ควร จะใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งๆ นอนๆ กันซะมากกว่า ไม่ค่อยทานผักผลไม้ แต่จะรับประทานอาหารที่ให้พลังงานและไขมันมากเกินไป และไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย การปฏิบัติตัวตามที่กล่าวมานี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคอ้วน

ยิ่งมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเท่าไร อ้วนมากขึ้นเท่าไร จะยิ่งมีส่วนทำให้หัวใจที่ต้องทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่ายกายทำงานหนักมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดเกิดความผิดปกติได้ และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคต่างๆ มากมายหลายชนิด

สำหรับใครที่อยากลองวัดรอบเอวกันขึ้นมาแล้ว ให้ยืนวัดรอบเอวในส่วนที่แคบที่สุดของลำตัว หรือกึ่งกลางระหว่างซี่โครงซี่สุดท้ายกับกระดูกสะโพกด้านหน้า สายวัดจะต้องไม่หลวมหรือแน่นจนเกินไป สำหรับคุณผู้หญิงนั้นต้องมีรอบเอวไม่เกิน 80 เซนติเมตร หรือประมาณ 32 นิ้ว ส่วนคุณผู้ชายต้องไม่เกิน 90 เซนติเมตร หรือประมาณ 36 นิ้ว สำหรับใครที่มีขนาดรอบเอวเกินมากไปกว่านี้ ให้รีบคุมน้ำหนักเพื่อลดรอบเอวอย่างเร่งด่วน

สำหรับวิธีการที่จะใช้ในการลดรอบเอวนั้น นักโภชนาการได้แนะนำเอาไว้ว่า ต้องรู้จัก “กินให้เป็น” รู้จักควบคุมปริมาณอาหารที่จะรับประทานในแต่ละวันให้เหมาะสม ลดอาหารประเภท ข้าว แป้ง น้ำตาล และไขมัน ให้เพิ่มอาหารประเภทโปรตีนจากธรรมชาติที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปแทน เช่น ถั่ว งา เต้าหู้ ผัก ผลไม้ที่ไม่เป็นแป้งและไม่หวาน และธัญพืชต่างๆ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มันจัด หวานจัด และเค็มจัด รวมถึงประเภท ขนมปัง เค้ก คุกกี้ มันฝรั่งทอด ขนมหวาน เป็นต้น

อีกวิธีที่ปฏิบัติได้ง่ายๆ คือ ให้พยายามยืดอาหารมื้อเช้าให้เป็นมื้อหลักของวัน ส่วนมื้ออื่นควรกินแค่พออิ่ม และสำหรับมื้อเย็นควรรับประทานก่อนเวลานอนไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง เพื่อให้ระบบร่างกายสามารถย่อยอาหารได้เต็มที่ และมีประสิทธิภาพ รวมถึงระบบทำงานอื่นๆ มีเวลาได้พักผ่อน

สุดท้าย พยายามออกกำลังกายเพื่อลดพุงหรือหน้าท้องให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน และครั้งละประมาณ 30 นาที ไม่ว่าจะเป็นวิธีปฏิบัติแบบใดก็ได้ ขอเพียงให้คุณลดน้ำหนักให้ได้อย่างน้อย 5-10% ของน้ำหนักตัวเท่านั้น ก็จะเท่ากับว่าไขมันในช่องท้องของคุณได้ลดลงไปไม่ต่ำกว่า 30% กันเลยทีเดียว

Credit >> http://www.shape.in.th