ลดความอ้วนด้วยการรับประทานผลไม้

ผักนั้นอาจจะมีรสชาติที่จืดชืดและไม่อร่อยสำหรับใครหลายๆคนยิ่งเมื่อไม่นำไปปรุงรสชาติให้ดีขึ้น เช่น ทำเป็นสลัดผัก หรือนำไปทำเป็นเครื่องเคียงประกอบอาหารจานหลัก แต่สำหรับผลไม้นั้นเราสามารถกินเปล่าๆ ได้โดยที่ไม่ต้องนำไปปรุงกับอะไรเลย อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากมีวิตามินเยอะ แต่ผลไม้บางชนิดก็มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะผลไม้สุก ไม้ว่าจะเป็น มะมวง มะละกอ ซึ่งผลไม้เหล่านี้เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน แต่ความหวานในผลไม้ยังให้ปริมาณน้ำตาลน้อยกว่าขนมหรือของหวานอยู่มาก

แม้ว่าการกินผลไม้จะเป็นวิธีการลดความอ้วนที่ได้ผล แต่เราก็ควรเลือกชนิดของผลไม้ให้เหมาะสม โดยการพิจารณาจากปริมาณน้ำตาลในผลไม้ หรือแป้งที่ผสมอยู่ในผลไม้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การกินผลไม้ลดความอ้วนย่อมให้ผลดีต่อร่างกายแน่นอน

1. ฝรั่ง
ผลไม้ราคาถูก หาซื้อหาย และมีปริมาณวิตามินซีสูง รสชาติอร่อย เหมาะเป็นผลไม้กินระหว่างลดความอ้วน ฝรั่ง 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานประมาณ 240 กิโลแคลอรี่เท่านั้น

2. แตงโม
บางคนอาจจะกลัวการกินแตงโมเพื่อการลดความอ้วน เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างจะให้รสหวาน แต่ในความเป็นจริงนั้น แตงโมเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่น้อย แตงโม 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานเพียง 60 กิโลแคลอรี่เท่านั้น ซึ่งแตงโมลูกใหญ่ ก็จะหนักประมาณ 2 กิโลกรัม

สาเหตุที่แตงโมเป็นผลไม้ที่สามารถใช้ลดความอ้วนได้ดี ก็เพราะเป็นผลไม้ที่มีน้ำมาก ประมาณ 97% ของส่วนประกอบทั้งหมด แต่ก็มีข้อเสียก็คือทำให้หิวเร็ว และปัสสาวะบ่อยๆ

3. ส้ม
คนไทยเรามักจะคุ้นเคยกับผลไม้ประเภทส้มเป็นอย่างดี และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบการกินส้ม ทั้งชนิดที่เป็นผลสด และน้ำส้มคั้น ซึ่งการกินส้มให้ได้ประโยชน์จริงๆ ควรกินทั้งกาก เพราะจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย แม้ส้มจะมีรสชาติอร่อยแต่ก็ถือเป็นผลไม้ที่มีความหวานพอสมควร ส้ม 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานประมาณ 340 กิโลแคลอรี่ ซึ่งถือว่าค่อนข้างมากสักหน่อยสำหรับการลดความอ้วน ฉะนั้นถ้าเราเลือกส้มเป็นผลไม้ที่กิน เพื่อลดความอ้วน ก็ไม่ควรกินเกินวันละ 2 กิโลกรัม

4. ชมพู่
ชมพู่เป็นผลไม้ที่มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์ก็มีรสชาติ และความหวานอร่อยที่แตกต่างกันออกไป ในเรื่องของการควบคุมน้ำหนัก แน่นอนว่า เราจะต้องเลือกชมพู่พันธุ์ที่หวานน้อยที่สุด เพื่อที่จะให้พลังงานน้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ

ชมพู่ที่หวานไม่มากไม่น้อยจนเกินไป 1 กิโลกรัม จะให้พลังงานประมาณ 120 กิโลแคลลอรี่ แต่ไม่ควรกินเกินวันละ 6 กิโลกรัม

5. ผลไม้อื่นๆ
ความจริงก็ยังมีผลไม้ชนิดอื่นที่กินลดความอ้วนเหมือนกัน แม้ว่าผลไม้ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้จะเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างจะให้พลังงานสูง แต่เราก็สามารถจะนำมากินได้ในปริมาณที่พอดี เพราะนี่คือหัวใจสำคัญของการลดความอ้วนโดยไม่อดอาหาร เพียงแต่ต้องควบคุมปริมาณอาหารทุกประเภทไม่ให้มากเกินไป เช่นเดียวกับการกินผลไม้ลดความอ้วน

ผลไม้ที่จะยกมากล่าวในข้อ 5 ก็คือ "กล้วย"
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีเกลือแร่ต่างๆเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงนอกจากให้พลังงานแล้ว ยังให้สารอาหารอื่นๆกับร่างกายของเราอีกด้วย

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

มะละกอช่วยลดความอ้วน

มะละกอเป็นผลไม้ที่มีวิตามินหลายชนิด นอกจากกินสดๆแล้ว ยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้ด้วย  เช่น ส้มตำ และ แกงส้มใส่มะละกอ และประโยชน์หลักๆของมะละกอที่รู้จักกันดี คือ ช่วยขับสารพิษของเสียออกจากร่างกาย กำจัดไขมันต่างในร่างกาย เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่จะช่วยย่อยโปรตีนและย่อยอาหาร เมื่อร่างกายย่อยอาหารและขับถ่ายได้ดี จึงช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่ง

ในด้านผิวพรรณ ความงาม มะละกอก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสน เพราะมะละกอมีวิตามินซี และเบตาแคโรทีนสูง หากกินเป็นประจำทุกวันจะช่วยบำรุงผิวพรรณได้ แม้ข้อเสียของมะละกอ คือ ความหวาน เพราะมีปริมาณน้ำตาลสูง แต่ในทางกลับกัน มะละกอกลับมีไขมันน้อยมาก จนเรียกได้ว่าแทบไม่มีเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเราจึงกินมะละกอระหว่างลดความอ้วนได้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ชอบผลไม้รสหวาน อาจจะไม่ชอบกินมะละกอเท่าใดนัก

นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่คนลดความอ้วน ชอบกินมะละกอ เพราะ มะละกอหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และเมื่อแช่เย็นนั้นก็จะเพิ่มความอร่อยขึ้นเป็นอย่างมาก ยิ่งคนที่กำลังลดความอ้วนแต่อยากกินของหวานๆ มะละกอนี่แหละจะเป็นตัวช่วยให้คุณได้อย่างดี

วิธีทำสลัดมะละกอ

1.มะละกอ 1 ลูก นำเมล็ดออก ปอกเปลืก และหั่น
2.มะม่วง 1 ลูก นำเมล็ดออก ปอกเปลือก และหั่น
3.สับปะรด ปอกเปลือก และหั่น 2 ชิ้น
4.เสาวรส 2 ลูก ตักเอาแต่เนื้อ น้ำส้มคั้น 2 ช้อนโต๊ะ
5.นำเครื่องปรุงทั้ง 3 อย่างแรกใส่ชาม
6.นำเนื้อเสาวรสที่ผสมกับน้ำส้ม ราดบนสลัด คลุกเคล้าให้ทั่ว
หมายเหตุ : ปริมาณส่วนประกอบสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับความชอบของแค่ละคน

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

กาแฟลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนักในปัจจุบันมีอยู่หลากหลายวิธี ตั้งแต่การลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย ลดน้ำหนักด้วยการกินผักและผลไม้ หรือลดน้ำหนักโดยการรับประทานผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆที่มีอยู่มากมายตามท้องตลาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กาแฟลดน้ำหนัก” ที่เป็นทางเลือกหนึ่งของคนที่อยากลดน้ำหนัก เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก และประหยัด อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบสำหรับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว

กาแฟกับการลดน้ำหนัก
กาแฟปกติทั่วไป ก็จะมีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันในตัวเองอยู่แล้ว แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้คุณผอมขึ้นในทันทีทันใด แต่ปัจจุบันผู้ผลิตอาหารลดน้ำหนักต่างพยายามใส่ส่วนผสมเข้าไป อาทิ สมุนไพรต่างๆที่มีสรรพคุณในการเพิ่มการเผาผลาญเพื่อให้กาแฟเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญให้ได้มากที่สุด หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นก็จะเป็นสารที่มีสรรพคุณเป็นยาลดความอ้วน เช่น สารไซบูทรามีน

วิธีการสังเกตว่ากาแฟลดน้ำหนักที่กินอยู่แอบผสม สารไซบูทรามีน เข้าไปด้วยหรือไม่ ให้ดูจากสรรพคุณข้างกล่องที่ฟังดูแล้วเกินจริง และอาการภายหลังกินเข้าไป คือ มีอาการใจสั่นมาก  รู้สึกหวิวๆ ไม่สบาย ตามมาด้วยไม่อยากกินอาหาร โดยอาการจะเกิดภายหลังรับประทานเพียง 1-2 แก้ว ซึ่งอาการเหล่านี้จะหนักกว่าการกินกาแฟปกติทั่วๆไป หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดกินทันที

สารไซบูทรามีน คืออะไร
คือสารที่เป็นส่วนประกอบของยาลดความอ้วน ที่ตอนนี้องค์การอาหารและยา ได้ประกาศยกเลิกตำรับยาแล้ว เพราะมีอันตรายที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ยี่ห้อการค้าในท้องตลาดคือ รีดัคทิล (Reductil)

แต่อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงกาแฟปกติทั่วไปที่ไม่ใช่กาแฟลดน้ำหนัก การดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว

ข้อดีของการดื่มกาแฟเป็นประจำ (กาแฟปกติทั่วไป)
1.ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
2.ช่วยป้องกันโรคหอบซึ่งเป็นอาการของภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง
3.ช่วยลดการเกิดโรคตับจากสุรา
4.ช่วยป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งในช่องปาก เพราะกาแฟมีประสิทธิภาพป้องกันโรคขั้นต้น โดยเฉพาะในคาเฟอีนที่มีกรดอะซิติก ที่ช่วยป้องกันโรค
5.การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยกาแฟลดอัตราคอเลส-เตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ
6.ช่วยละลายไขมัน เพราะกาแฟที่ทานหลังอิ่มอาหาร ช่วยให้ไขมันแตกตัว และให้พลังงานทดแทนจึงลดความอ้วนได้
7.กาแฟเพิ่มไขมันชนิดดีให้ร่างกาย ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตามผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จะมีไขมันชนิด (HDL) เพิ่มขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้จะขับไล่คอเลสเตอรอลออกไป ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
8.ช่วยแก้ปวดศีรษะ กาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด และยังช่วยขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเมาสุราได้
9.ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมองและสมรรถภาพสมอง มีผู้เชี่ยวชาญสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาว่า ความหอมของกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น นั้นเป็นเพราะกลิ่นกาแฟ ทำให้เลือดไหลเวียนในสมองเพิ่มขึ้น
10.ดื่มกาแฟเล็กน้อยทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว หากได้ดื่ม กาแฟเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ คาเฟอีน ในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

แอปเปิ้ลช่วยลดความอ้วน

แอปเปิ้ล (Apple) จัดเป็นผลไม้ลดความอ้วน/ลดน้ำหนักยอดนิยมชนิดหนึ่งของโลก  ผลของแอปเปิ้ลจะมีหลายสี อาทิ แอปเปิ้ลแดง แอปเปิ้ลเขียว และแอปเปิ้ลเหลือง ซึ่งสีของแอปเปิ้ลจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของมัน

คุณค่าทางโภชนาการของแอปเปิ้ล

ถ้ากินโดยไม่ปอกเปลือก แอปเปิ้ลจะให้พลังงานประมาณ 80 แคลอรี  อีกทั้งยังประกอบได้ด้วยเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุและวิตามินอีกหลายชนิด เช่น

- วิตามินบี6 ประมาณ 0.1 มิลลิกรัม
- วิตามินซี ประมาณ 7.9 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก ประมาณ 0.2 มิลลิกรัม
- ทองแดง ประมาณ 0.1 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม ประมาณ 158.7 มิลลิกรัม

เส้นใยหรือไฟเบอร์ที่มีอยู่ในแอปเปิ้ล จะเป็นเส้นใยชนิดที่ละลายน้ำได้ เรียกว่า เพคติน ที่ประกอบด้วยกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนี้ยังพบสรรพคุณที่ช่วยบำรุงหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

การกินแอปเปิ้ลให้ได้รับคุณค่าทางโภชนาการสูงสุดจึงควรกินทั้งเปลือก เพราะถ้าหากกินโดยปอกเปลือกปริมาณเส้นใยและสารเหล่านี้ก็จะลดลงไปด้วย

ทำไมจึงกินแอปเปิ้ลเพื่อลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน
เนื่องจากในแอปเปิ้ลมีคาโบร์ไฮเดรตและน้ำตาลถึง 75%  ซึ่งน้ำตาลในแอปเปิ้ลเป็นโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง แต่แอปเปิ้ลสดเท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้

จุดเด่นของแอปเปิ้ล แบ่งตามสี

1.แอปเปิ้ลแดง มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด ให้พลังงานสูง มีรสหวาน
2.แอปเปิ้ลเขียว มีรสอมเปรี้ยว นิยมกินในช่วงลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน เพราะมีปริมาณน้ำตาลน้อย จึงช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี
3.แอปเปิ้ลเหลือง มีประโยชน์ต่างจากสีอื่นๆ เพราะมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

หากให้วิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่างๆเปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง จะพบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

ออกกำลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหาร

1.เตรียมตัวออกกำลังกาย
ต้องวอมอัพร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง  อาจใช้วิธีเดิน บิดตัวไปมา หรือ ยื่นเส้นยืดสาย โดยปกติแล้วการวอมร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 5 - 10 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆได้มากขึ้น และเป็นการป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย

2.เริ่มต้นออกกำลังกาย
คนที่เริ่มต้นออกกำลังกายควรใช้วิธีเดินไม่ควรวิ่ง  เนื่องจากการเดินจะทำให้คุณไม่เหนื่อยมาก  และไม่ปวดกล้ามเนื้อหลังจากออกกำลังกาย การเดินเหมาะสำหรับคนอ้วน หรือคนที่พึ่งเริ่มออกกำลังกาย  ส่วนการวิ่งจะเป็นการออกกำลังกายสำหรับคนที่ได้เริ่มออกกำลังกายมาซักพักแล้ว  เพราะการวิ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว และทำให้เหนื่อยมาก

เมื่อออกกำลังกายเป็นประจำไปได้ซักระยะหนึ่งแล้ว หากท่านต้องการเพิ่มความฟิตให้กับร่างกายก็สามารถทำได้  โดยควรเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่ชอบและสะดวกที่สุด  ทั้งนี้ในการออกกำลังกายครั้งแรกๆไม่ควรที่จะหักโหมมากนัก  โดยสามารถสังเกตอาการขณะออกกำลังกายว่า คุณออกกำลังกายหักโหมไปหรือเปล่า โดยสังเกตจากอาการต่อไปนี้
1.หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย
2.หอบ หายใจไม่ทันจนพูดไม่เป็นประโยค
3.เหนื่อยจนหน้ามืด อยากจะเป็นลม
หากมีอาการดังกล่าว  คุณหยุดการออกกำลังกายอย่างน้อย 1 - 2 วัน  และลดระดับการออกกำลังกายในครั้งต่อไปลง แต่ไม่ควรหยุดออกกำลังกายเป็นระยะเวลานาน เพราะการออกกำลังกายที่ดี ควรออกอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแล้วก็เลิก

3.หลังออกกำลังกาย
อย่าหยุดออกกำลังกายในทันที!!  เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดควรค่อยๆออกกำลังกายโดยผ่อนกำลังลงประมาณ 5 - 10 นาที  จนกระทั่งหัวใจเต้นช้าลงและเต้นเป็นปกติจึงหยุด หลังจากนั้นให้ดื่มน้ำเพื่อทดน้ำในร่างกายสูญเสียไประหว่างออกกำลังกาย

เมื่อคุณออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

- ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี  เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้มากขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันต่ำ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคข้อเสื่อม เป็นต้น
- ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก การทรงตัว และทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น
- ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยลดความเครียด และทำให้การนอนหลับพักผ่อนดีขึ้น

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

กินเพื่ออยู่ อย่าอยู่เพื่อกิน

การกินเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์จะต้องทำตั้งแต่เกิดจนตาย มันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งของมนุษย์ เพราะถ้าไม่กินก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ แต่ถ้ามีอาหารส่วนเกินมากก็เกิดโรคได้อีกเช่นกัน โดยเฉพาะความอ้วน ดังนั้นคนเราจึงควรกินเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดเท่านั้น คนส่วนใหญ่จะ "กินเพื่ออยู่" และหยุดกินเมื่ออิ่ม แต่บางคนก็ไม่ได้กินเพื่อให้มีชีวิตอยู่แต่เพียงอย่างเดียว ยังต้องการหาความสุขในระหว่างการกินด้วย จุดมุ่งหมายของการกินจึงเปลี่ยนเป็น “อยู่เพื่อกิน” นั่นเอง

แต่ไม่ว่าคุณจะมีพฤติกรรมการกินแบบใด รูปร่างของคุณ คือส่วนสะท้อนพฤติกรรมเหล่านั้น ดังคำพูดที่ว่า "จะอ้วนจะผอมล้วนอยู่ที่ปาก" เพราะความจริงร่างกายมนุษย์ต้องการอาหารไม่มากนัก แค่กินอาหารให้พอดีกับร่างกาย ก็ได้สารอาหารครบถ้วนแล้ว หากคุณกินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายคุณก็ต้องมานั่งปวดใจกับตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนัก และยังต้องมานั่งหาวิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินเหล่านั้นออกไปอีก ดังนั้นก็จง "กินเพื่ออยู่" น่าจะดีกว่า แม้การบังคับใจตนเองจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

 แต่ในปัจจุบันก็มีเทคนิกการกินหลายรูปแบบ ที่หลักการที่ว่า "กินอย่างไรไม่ให้อ้วน" เช่น วิธีการกินอาหารแบบ Reversal Diet  ซึ่งก็คือ การกินอาหารอย่างสมดุล โดยลดอาหารที่มีไขมันลง และเปลี่ยนมากินอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดตร และโปรตีนที่ได้จากพืชแทน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมาเป็น "กินเพื่ออยู่" จึงมีความสำคัญกับคนที่มีความตั้งใจที่จะลดน้ำหนัก เพราะถือเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างหนึ่ง วิธีการหลีกเลี้ยงความอ้วนแบบง่ายๆมีดังนี้
1.รับประทานผัก ผลไม้มากๆ
2.หลีกเลี่ยงการทานอาหารทอดๆ และติดมัน
3.ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ก่อนมื้ออาหาร
4.ออกกำลังกายสำคัญสุดๆ
5.หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไดเอท
6.อย่ากักตุนอาหารในตู้เย็น
7.อย่ากินไป ดูทีวีไป
8.ลดน้ำหวาน ชา , กาแฟ , ครีมเทียม
9.อย่าให้รางวัลตัวเองด้วยการไปกินนอกบ้าน
10.อย่าอดอาหารเด็ดขาด
11.แบ่งกินเป็นส่วนๆไม่ต้องกินให้หมด
12.อย่ากินอะไรหลังมื้อเย็นอีก
13.ดื่มนมก็ช่วยลดความอ้วนนะ
14.อ่านฉลากรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ก่อนกินด้วยล่ะ
15.อย่าลืมชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้ง

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

เครื่องดื่มที่ทำให้อ้วนโดยไม่รู้ตัว

ในชีวิตประจำวัน นอกจากอาหารคาว หวานแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เครื่องดื่มประเภทต่างๆ นี่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าเป็นคนที่อ้วนได้ง่ายๆแล้วละก็ เจ้าเครื่องดื่มตัวฉะกาจพวกนี้เนี่ยแหละที่อาจเป็นสาเหตุความอ้วนของคุณ ดังนั้น เราลองมาดูกันดีกว่าว่า มีเครื่องดื่มอะไรบ้างที่คุณมักดื่มมันเป็นประจำ จนทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว

1. เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม 
เครื่องดื่มประเภทนี้ เรียกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะอาหารและยามว่าง ของใครหลายๆคน บางคนถึงกับติดน้ำอัดลมเลยทีเดียว แต่จะมีใครรู้ว่างว่า นอกจากปริมาณน้ำตาลที่มากแล้ว ในน้ำอัดลมยังมีปริมาณแคลลอลี่ถึง 120 แคลลอลี่ ซึ่งนับว่าไม่น้อยเลย แล้วนี่ยังไม่นับกรดคาร์บอนิก สารกันบูด สารแต่งสี แต่งกลิ่นที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายด้วยนะ

2. ชาเย็น นมเย็น โอวัลตินเย็น ช็อกโกแลตเย็น
เครื่องดื่มพวกนี้ ก็จัดเป็นที่โปรดปรานของใครหลายๆคนเช่นกัน แต่ถ้าคุณรู้ปริมาณแคลลอลี่ของมันแล้วละก็ คุณอาจจะเลิกชอบมันไปเลย เพราะพวกมันมีปริมาณแคลลอลี่เฉลี่ย 220 - 400 แคลลอลี่ จริงๆแล้วอะไรก็ตามที่มีรสหวานนั้นก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะด้วยน้ำตาล นมข้นหวาน หรืออื่นๆที่ใส่ลงไป ล้วนแต่ทำให้อ้วนทั้งสิ้น ไม่ใช่เฉพาะกับชาที่ชงสดเท่านั้นนะ แต่ยังรวมไปถึงชาที่บรรจุขวดขายตาม 7-11 หรือห้างสรรพสินค้าด้วย

3. นมถั่วเหลือง
สำหรับนมถั่วเหลืองนี้คงมีสาวๆหลายคนที่ไม่คิดว่าจะมีปริมาณแคลลอลี่ที่มาก แต่ในนมถั่วเหลือง 1 แก้ว จะมีปริมาณแคลอลี่ 150 แคลลอลี่ ซึ่งหากดื่มมากๆ ก็ทำให้อ้วนได้เช่นกัน

4. น้ำผลไม้ปั่น
หากคุณสาวๆ ที่คิดจะดื่มน้ำผลไม้เพื่อรักษาหุ่น ก็คงต้องทบทวนกันใหม่แล้วละค่ะ น้ำผลไม้อาทิ น้ำองุ่น น้ำส้ม น้ำสับปะรด เป็นสามน้ำยอดนิยมที่ให้พลังงานสูงมาก ยิ่งคุณเอามาผลไม้หลายๆอย่างมาปั่นรวมกัน ปริมาณแคลลอลี่ก็ยิ่งมากขึ้น หรือถ้าซื้อแบบที่เขาบรรจุขวดไม่มีเนื้อผลไม้ให้มาด้วย คุณก็จะได้แต่น้ำตาลจนแทบหาประโยชน์อะไรให้สุขภาพไม่ได้เลย เว้นเสียแต่ว่า คุณจะควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละวันไปด้วย

5. กาแฟประเภทต่างๆ
จริงๆแล้วตัวกาแฟเองนั้นมีแคลอรี่ที่น้อยมาก ประมาณ 5 แคลอรี่/8ออนซ์ แต่ด้วยการปรุงแต่งหลายๆ ทั้งใส่น้ำตาล นม ครีม และอื่นๆ แล้ววันๆหนึ่งคุณดื่มไปกี่แก้วกัน? ถึงแม้จะวันละแก้วแต่ในหนึ่งสัปดาห์นั้นคุณก็จะได้ไปทั้งหมดประมาณ 840-1,610 แคลอรี่เลยนะ

6. เครื่องดื่มชูกำลัง
เครื่องดื่มประเภทนี้ เป็นเครื่องดื่มเฉพาะกลุ่ม แต่ถ้าหากใครที่ดื่มเป็นประจำล่ะก็ โปรดรู้ไว้เภอะว่า เครื่องดื่มชูกำลังนั้นอัดแน่นไปด้วยน้ำตาลและคาเฟอีน จนมีแคลอรี่สูงถึง 110-300 แคลอรี่ และมีน้ำตาลถึง 27-55 กรัม (6-13 ช้อนชา) เลยแหละ
 
เห็นแบบนี้แล้ว คุณๆอาจเกิดคำถามว่า "แล้วนี่ชั้นจะดื่มอะไรได้บ้างเนี่ย?" คำตอบก็ง่ายแสนง่าย "น้ำเปล่าดีที่สุด" และถ้าดื่มน้ำเปล่าก่อนรับประทานอาหาร 45 นาที ยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วยนะ เพราะการดื่มน้ำทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดลง ร่างกายจึงเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตามไปด้วยนั่นเอง

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

ลดความอ้วนด้วยแก้วมังกร

แก้วมังกร (Dragon Fruit) เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายหลายชนิด อาทิ แคโรทีน (Carotene) สารต้านอนุมูลอิสระ และสารที่ช่วยในเรื่องการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติช่วยลดเซลลูไลท์ (Cellulite) ในร่างกาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการลดความอ้วน

แก้วมังกรมี 2 ชนิดคือ พันธ์ทีมีเนื้อสีขาว และพันธ์ที่มีเนื้อสีแดง แต่สีแดงจะมีรสหวานกว่าสีขาว ปัจจุบันแก้วมังกร (Dragon Fruit) กลายเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้กินเพื่อลดความอ้วน นั้นก็เพราะ ในแก้วมังกรเป็นมีปริมาณกากใยสูง และมีสารอาหารหลายชนิด อาทิ แคโรทีน (Carotene) วิตามินซี คลอโรฟิลล์ สารต้านอนุมูลอิสระ  สารที่ช่วยในเรื่องการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เป็นต้น

แก้วมังกร 100 กรัม ให้พลังงาน 59 kcal และมีปริมาณน้ำสูงถึง 85.38% แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อการลดความอ้วนโดยตรงก็คือ เซลลูโลส (Cellulose) ในแก้วมังกร ที่สามารถช่วยลดความอยากอาหารลงได้ เพราะคุณจะรู้สึกอิ่มเมื่อรับประทาน นอกจากนั้นปริมาณกากใยที่มีมาก ยังช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหารและการขับถ่ายของเสียในร่างกายอีกด้วย ฉะนั้นหากคุณสาวๆต้องการผลไม้กินระหว่างลดความอ้วน แก้วมังกร ก็ถือเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ช่วยลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี
 
วิธีกินแก้วมังกร

ทำได้โดยผ่าครึ่งลอกเปลือกออก หรือจะนำไปทำเป็นเครื่อง ดื่ม ใส่สลัด เสิร์ฟคู่ไอศกรีม หรือขนมหวาน แต่การกินแก้วมังกรให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ต้องเคี้ยวเม็ดดำๆในแก้วมังกรให้ละเอียด เพราะเม็ดในแก้วมังกรเป็นที่รวมสารต้านอนุมูลอิสระเอาไว้สูงมาก รวมทั้งวิตามินอีด้วย ถ้าเราเคี้ยวเม็ดให้ละเอียดจะช่วยให้สารอาหารเหล่านี้แตกตัวได้เร็วขึ้น และร่างกายจะได้ดูดซึมไปใช้ได้มากขึ้นด้วย

วิธีทำ น้ำแก้วมังกรปั่น

1. นำแก้วมังกรที่แช่จนเย็นได้ที่แล้วมาผ่าครึ่งผลตามแนวยาว ลอกเปลือกออก และหั่นเนื้อแก้วมังกรเป็นชิ้นเล็กใส่เครื่องปั่น
2. ใส่น้ำส้มคั้น 1 ส่วน 4 ถ้วย, น้ำเชื่อม 1 ส่วน 4 ถ้วย และเกลือ 1 ส่วน 4 ช้อนชา ลงไป และปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนได้ที่ เทใส่แก้วพร้อมดื่มทันที

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

ผลไม้ที่ควรรับประทานในช่วงที่ลดน้ำหนัก

อย่างที่เรารู้กันดีว่า ผลไม้เป็นแหล่งของพลังงานและสารอาหารที่อุดมไปด้วยกากไย คุณสมบัติที่ว่านี้ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญพลังงาน และการขับถ่าย ดังนั้นผลไม้จึงมีส่วนช่วยล้างพิษในร่างกายและช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก หรือลดความอ้วนได้เป็นอย่างดีโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อร่างกาย

หากแบ่งประเภทผลไม้ที่ช่วยลดความอ้วน สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทดังนี้

1. ผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ได้แก่ กล้วย, พลัม, แพร์, กีวี, สับปะรด, องุ่น, มะม่วง และมะเดื่อ ผลไม้ประเภทนี้ควรจะรับประทานเป็นอาหารเช้า

2. ผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ได้แก่ แตงโม, ลูกพีช, ลูกท้อ, แคนตาลูป, แอปเปิ้ล และมะละกอ ผลไม้เหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงานที่จำเป็นสำหรับระบบหลอดเลือดหัวใจและประสาท อีกทั้งยังและมีปริมาณน้ำที่สูง จึงช่วยควบคุมระดับอุณหภูมิในร่างกายและขับคอเลสเตอรอลที่ไม่มีประโยชน์ออกจากร่างกาย

3. ผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตน้อยที่สุด ได้แก่ ผลไม้ประเภทมะนาวและเบอร์รี่ ซึ่งหมายความรวมถึงราสเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี และสตรอเบอร์รี่ด้วย ผลไม้ประเภทนี้จะช่วยล้างพิษหรือสารที่ไม่สามารถย่อยได้ออกจากร่างกาย และที่สำคัญช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ปรับปรุงการย่อยอาหาร ลดความอยากอาหาร นำไปสู่​​การลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ

 4. ผลไม้ที่มีปริมาณน้ำมากประเภท "แตง"   เช่น แตงโม แคนตาลูป และแตงไทย ผลไม้พวกนี้มีปริมาณน้ำมาก กากไยสูง แต่คาร์โบไฮเดรตต่ำ จึงมีประโยชน์อย่างมากต่อการย่อยอาหาร เพราะสามารถขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี

5. ผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกดและพรุน ผลไม้เหล่านี้เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินและเกลือแร่ การรับประทานผลไม้แห้งและผลไม้สดจะช่วยการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ลดคอเลสเตอรอล ปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยในการล้างพิษในลำไส้

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

มื้อเย็นสำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วน

การอดอาหาร คือ การลดน้ำหนักที่ผิดวิธี โดยเฉพาะการงดอาหารมื้อเย็น การลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพนั้น เราไม่ควรที่จะอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง แต่ควรรับประทานแต่พอดี ไม่มากเกินไป ทีนี้เรามาดูความจำเป็นของอาหารเย็นที่มีต่อร่างกายกันดีกว่าว่ามีมากน้อยเพียงใด และเหตุใดมื้อเย็นจึงเป็นมื้อสำคัญที่ไม่ควรงดเด็ดขาด

เหตุผลอันดับแรกเลยก็คือ การอดอาหารมื้อเย็นนอกจากจะทำให้คุณหิวแล้ว ยังไม่ทำให้น้ำหนักลด แถมยังสร้างความกวนใจในยามค่ำคืนอีกต่างหาก เนื่องจากเมื่อถึงเวลาอาหาร ร่างกายจะหลั่งกรดออกมาเพื่อทำการย่อยอาหาร ดังนั้น เมื่อไม่มีอาหารในกระเพาะ น้ำย่อยก็จะมาย่อยกระเพาะแทน คนที่อดการหารเย็นจึงมีปัญหานอนไม่หลับเนื่องจากความหิว บางคนอาจทนไม่ไหวจนลุกขึ้นมาหาอะไรกินกลางดึก ซึ่งแทนที่จะผอมลงแต่กลับอ้วนขึ้นมาอีกเป็นกอง เราจึงควรเลือกลดอาหารมากกว่าการอดอาหาร

วิธีการเลือกทานอาหารทำได้โดย เลือกทานอาหารเบา หรืออาหารที่ให้พลังงานน้อยที่สุด อย่างเช่น เน้นผักและผลไม้ และเวลาที่ควรทานคือหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม อย่าทานดึกกว่านี้ และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด ได้แก่ ของทอด ของมัน อาหารประเภทเนื้อสัตว์ติดมัน และอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง ถ้าต้องทานควรทานในปริมาณเล็กน้อย และต้องคำนึงถึงสารอาหารที่ครบทั้ง 5 หมู่ด้วยนะคะ

สำหรับบางคนที่ต้องการเน้นกินผักหรือผลไม้ในมื้อเย็นเพื่อลดความอ้วนจะต้องไม่เลือกผลไม้ที่เป็นกรด เพราะขณะท้องว่างร่างกายจะมีกรดมากอยู่แล้ว และหลีกเลี่ยงการทานผักหรือผลไม้ดิบขณะท้องว่าง เพราะจะทำให้ท้องอืดได้ แนะนำว่าให้ทานผักสุก เช่น การลวก การต้ม แกงจืด หรือยำที่รสชาติไม่จัดมาก เช่น ยำแตงกวา ยำวุ้นเส้น ส้มตำ ที่ไม่เผ็ดหรือ เปรี้ยวเกินไป

อย่าคิดว่าอาหารมื้อเย็นไม่สำคัญนะคะ ควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับการเลือกทานมื้อเย็นให้มาก แต่ต้องทานแค่พอเหมาะไม่ทานจุเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้อ้วนแล้วยังมีอีกหลายโรคตามมาจากการทานอาหารมื้อเย็นที่ ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ นอกจากนี้แล้วยังส่งผลถึงคุณภาพการนอนอีกด้วย เพราะการทนหิวระหว่างนอนไม่ใช่เรื่องดี

และคำแนะนำสุดท้าย หลังทานอาหารเย็นไม่ควรออกกำลังกายทันที เพราะถ้าเราทานอาหารภายในเวลา 1-2 ช.ม. แล้วไปออกกำลังกายทันที อาจทำให้เราเกิดอาการจุกได้ ถ้าเป็นไปได้ควรเดินเรื่อย ๆ ไม่ต้องเร่ง เพราะเวลาเราเดินลำไส้จะมีการขยับตัว อาหารก็จะย่อยง่ายและยังเป็นการใช้พลังงานไปในตัวอีกด้วย เป็นแนวทางที่ดีในการปฏิบัติจะได้ไม่อ้วน

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com/

โยเกิร์ตช่วยลดน้ำหนักและลดความอ้วน

การที่ผู้หญิงมีหน้าท้องกันส่วนใหญ่นั้น ต้องพิจารณาดูก่อนว่า แต่ละคนมีสาเหตุจากอะไร หากเกิดจากความอ้วน หน้าท้องจะยื่นตั้งแต่เหนือสะดือลงมาจนถึงท้องน้อย และส่วนอื่นๆของร่างกายก็จะใหญ่ตามไปด้วย แต่คนที่มีปัญหาหน้าท้องที่เกิดจากอาการท้องอืด คือ ท้องน้อยจะยื่นออกมานั้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ สามารถลดหน้าท้องได้ด้วยการรับประทานโยเกิร์ต

โยเกิร์ต (Yogurt) คือ ผลิตภัณฑ์จากนมซึ่งเกิดจากการหมักระหว่างนมและโปรไบโอติกส์ หรือแบคทีเรียชนิดดี ที่ยังมีชีวิต เมื่อเรากินเข้าไป แบคทีเรียเหล่านี้ก็จะไปสร้างความสมดุลให้จุลินทรีย์เจ้าถิ่นในลำไส้ ผลก็คือระบบขับถ่ายและสุขภาพโดยรวมของเราจะดีขึ้นนั่นเอง

ในโยเกิร์ตชนิดไขมันต่ำ 1 ถ้วย มีแบคทีเรียชนิดดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีสารอาหารมากถึง 11 ชนิด ได้แก่ ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามิน บี 12 ทริปโทฟาน โปตัสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี วิตามิน บี 5

จากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์พบว่า ผู้หญิงที่กินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของแบคทีเรียทีมีอยู่ในอาหารประเภทโยเกิร์ต จะสามารถลดน้ำหนักได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะแบคทีเรียซึ่งพบในอาหารจำพวกนี้จะช่วยสลายน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต ทำให้ร่างกายไม่สะสมพวกแป้งและน้ำตาลไว้ในรูปไขมัน ทำให้ร่างกายย่อยสลายและขับถ่ายมันออกมา ซึ่งช่วยได้ดีสำหรับคนที่มีปัญหาหน้าท้องซึ่งเกิดจากอาการท้องอืด เพราะขับถ่ายไม่เป็นปกติ
สูตรการทานโยเกิร์ต ที่คนส่วนใหญ่นิยม

    โยเกิตรสธรรมชาติ ครึ่งถ้วย
    นมสด 1 แก้ว
    น้ำผึ้ง 1 - 2 ช้อนโต๊ะ
    มะนาวครึ่งลูก

หมายเหตุ : สูตรนี้ไม่ตายตัว คุณสามารถปรับส่วนผสมได้ตามรสชาติที่คุณชอบ

Credit >> http://dietfoodfruit.blogspot.com/

ผักและผลไม้ที่ช่วยลดความอ้วน

1. Apple
แอปเปิ้ล ถือเป็นราชาของผลไม้ลดความอ้วน ในแอปเปิ้ลมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวง่ายต่อการดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายในไม่ถึง 10 นาที จึงช่วยลดความอยากอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ดี อีกทั้งกากใยจากเปลือกแอปเปิ้ลยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย การรับประทานแอปเปิ้ลเพื่อลดน้ำหนักนิยมรับประทานแทนอาหารมื้อเย็น แต่ทั้งนี้ต้องรับประทานทั้งเปลือกเพราะถ้าปลอกเปลือกออกสารสำคัญต่างๆก็จะลดน้อยลงไปด้วย

2. ผักสลัด Arugula (Rocket)
นิยมใส่ในสลัด ผัก Arugula อุดมไปด้วยวิตามิน A และ C และมีแคลอรี่ต่ำ รสขมของ Arugula ช่วยกระตุ้นตับสำหรับการไหลของน้ำดีและระบบการย่อยอาหาร


3. Asian greens
ผักประเภทนี้ได้แก่ ผักบุ้งจีน คะน้า กวางตุ้ง ฮ่องเต้ ไดโตเกียว ทาห์ไช่ และผักโขม

4. มะละกอ
มะละกอเป็นผลไม้ที่หาซื้อง่ายตามท้องตลาดแถมมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับสรรพคุณ ในมะละกอสุกนั้นจะมีไขมันน้อยมากจนเรียกว่าไม่มีเลยก็ได้และยังให้พลังงานไม่ถึงเกิน 50 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม ดังนั้นมะละกอจึงเป็นผลไม้ลดน้ำหนักอีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนนิยมรับประทาน


5. หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
นิยมใส่ในสลัด หรือนึ่ง เพื่อรับประทานร่วมกับผักอื่นๆและปลา หน่อไม้ฝรั่งเป็นแหล่งของเส้นใยโฟเลต วิตามิน C, E, K, B6 และแร่ธาตุอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีซาโปนิน ที่เชื่อว่าจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ


6. อะโวคาโด้ (Avocado)
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในอะโวคาโด้จะช่วยเพื่อเผาผลาญไขมันอิ่มตัวในร่างกาย ซึ่งหมายความว่า มันจะช่วยกำจัดไขมันที่ไม่จำเป็นในร่างกายของคุณออกไป


7. กล้วย (Banana)
กล้วยเป็นอาหารที่ให้พลังงานเป็นอย่างดี เนื่องจากกล้วยอุดมด้วยวิตามินและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ช่วยลดอาการตัวบวม มีใยอาหารช่วยในเรื่องของปัญหาท้องผูก โดยเฉพาะกล้วยหอม หากรับประทานแทนอาหารมื้อเช้าจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้อง

8. ข้าวบาร์เลย์
ข้าวบาร์เลย์จะช่วยลดคอเลสเตอรอลส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ จากการวิจัยของสวีเดนพบว่า หากคุณทานข้าวบาร์เลย์เป็นมื้อเช้าจะช่วยลดความอ้วนจากการทานอาหารมื้อต่อๆไปของวันได้ เพราะไฟเบอร์ชนิดละลายในน้ำที่มีอยู่มากในข้าวบาร์เลย์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อยหลายชั่วโมง คุณเลยจะรู้สึกอิ่มนานกว่ารับประทานข้าวทั่วไป


9. ถั่ว
หรือพืชตระกูลถั่ว เป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต ถั่วจะมีเส้นใยสูงและมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และต้านเชื้อราที่จะช่วยปกป้องเราจากโรค ใครที่เคยพยายามลดน้ำหนักโดยควบคุมปริมาณอาหารและปริมาณไขมัน จะทราบดีว่าการปฏิบัติเช่นนี้อาจทำได้ไม่นาน อาหารอาจขาดรสชาติหรือทำให้หิวบ่อย ถั่วมีทั้งไขมันที่ดีและเส้นใยอาหารในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงเป็นอาหารธรรมชาติที่เหมาะจะเป็นอาหารควบคุมน้ำหนัก


10. ผลเบอร์รี่
ผลเบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่และแบล็ก เป็นหนึ่งในผลไม้ ที่ดีที่สุดในการต่อต้านริ้วรอย มีเส้นใยสูง  และยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระแต่มีราคาแพง แบล็คเบอร์รี่ 1 ถ้วยเล็กๆสามารถให้ไฟเบอร์ถึง 10 กรัมเลยทีเดียว

Creidt >> http://dietfoodfruit.blogspot.com

ลดน้ำหนักด้วยการรับประทานกล้วยในมื้อเช้า

ลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้า ง่ายและได้ผลจริง

หลายคนสงสัยว่า กล้วยช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วนได้อย่างไร คุณเชื่อหรือไม่ว่ากล้วยสามารถช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วนได้จริง มีผู้คนมากมายทั่วโลกที่ใช้วิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานกล้วยในมื้อเช้า หลายคนเคยไดเอ็ท อดอาหาร ตามสูตรควบคุมน้ำหนักต่างๆ ซึ่งต้องใช้ความอดทน อีกทั้งบางครั้งยังสร้างความเครียดให้เราอีกด้วย พยายามไดเอ็ทหลายวิธีก็ไม่ผอมลงสักที งั้นลองหยิบ "กล้วย" ใบน้อย มาเติมพลังให้เช้าวันใหม่ สำหรับการไดเอ็ทด้วยการทานกล้วยในมื้อเช้านี้ เป็นวิธีที่แสนง่าย แต่ได้ผล อยากให้ทุกท่านลองนำไปปฏิบัติกัน

สารอาหารที่ได้จากกล้วยได้แก่

1. วิตามินบี1 และบี 2 เร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า
2. เกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม
3. มีเส้นใยอาหาร (fiber) บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี
4. กล้วยยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
5. สารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่
6. สารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย
7. เซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง
8. ในเนื้อกล้วยเองมีเอ็นไซม์ช่วยย่อย ก็จะทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น
9. น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย
10. มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย

วิธีปฏิบัติ

1. เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น เช่น ข้าว เป็นต้น ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็ได้ เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรดด่างต่างกัน
2. เครื่องดื่มที่ดื่มควบคู่กับกล้วยหอมตอนเช้าคือน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ
3. ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้พอเหมาะและไม่อึดอัดท้องจนเกินไป
4. พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น
5. กินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมง รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย ซึ่งการกินข้าวเย็นแต่เร็ววัน ถึงแม้จะกินเยอะก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
6. นอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้ พยายามนอนก่อนเที่ยงคืนให้เป็นนิสัย เพื่อฟื้นฟูร่างกายขณะหลับ กำจัดความเหนื่อยล้าซึ่งจะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพผอมได้ง่าย
7. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น การออกกำลังกายอย่าหักโหมจนรู้สึกทรมาน การไดเอ็ทจะไม่ได้ผล
8.จดบันทึกไดเอ็ทไดอารี่ให้เป็นนิสัย และเปิดเผยให้คนอื่นอ่านด้วย เป็นบ่อเกิดแห่งกำลังใจอย่างหนึ่ง

กินกล้วยหอม 2-4 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ที่สาวหนุ่มแดนซากุระแห่ทำตามจนแทบแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กล้วยหอมมาครอบครอง หวังลดน้ำหนักได้เพรียวกันถ้วนหน้า ที่มาที่ไปของสูตรลดความอ้วนด้วยกล้วยนั้น มาจากเภสัชกรนางหนึ่ง ได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารให้กับสามีที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ผลจากสูตรนี้ทำให้ลดน้ำหนักลงได้ถึง 16.6 กิโลกรัม เธอจึงแนะนำสูตรนี้ลงบน MIXI ชุมชนออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่า สมาชิกชุมชนประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คนแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ และมียอดขายถล่มทลายขายเกิน 1 ล้านเล่มในญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการแปลในหลายภาษา

Credit >> http://women.postjung.com

สูตรลดน้ำหนักอย่างง่ายๆ

เป็นการลดน้ำหนักใน 2 สัปดาห์ ให้จัดมื้ออาหารและปฏิบัติดังนี้

1.ตอนเช้าตื่นมาให้ดื่มน้ำอุ่นๆ 1 แก้วใหญ่ (ช่วยในเรื่องการขับถ่าย)
2.มื้อเช้ากินไข่ต้ม 1 ฟองนะ
3.มื้อเที่ยงกินสลัดผัก หรือไม่ก็ ส้มตำ (ห้ามหวานเด็ดขาด)
4.งดของหวานไว้ก่อน
5.มื้อเย็นอนุโลมให้กินเเอปเปิ้ลได้ 1 ลูก เเต่ถ้าทนได้ก็เเนะนำว่า อย่าดีกว่าคะ
6.งดอาหารหลัง 6 โมงเย็น ถ้าหิวมากๆก็ดื่มน้ำเยอะๆเเทน
7.ข้อนี้สำคัญมาก อย่าลืมออกกำลังกายล่ะ นอกจากจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นเเล้วยังช่วยให้หุ่นของสาวๆไม่เทอะทะอีกต่อไป

เเนะนำนิดนึง

ตอนเเรกๆที่เราใช้สูตรนี้ก็สนุกดีอยู่นะกับการกินสลัดผัก เเต่พอไปๆมาๆ มันรู้สึกเอือมมากๆเลยล่ะ หลายคนอาจจะมีวิธีเปลี่ยนรสชาดต่างๆ เเต่สำหรับเรา

-เปลี่ยนน้ำสลัดเป็นโยเกิร์ตรสธรรมชาดเเทน ^^ ฟังดูอาจจะไม่เข้าท่า เเต่ก็น่าลองนะ
-ออกกำลังก็ทำได้ง่ายๆ ถ้าบ้านมีเชือกก็กระโดดมันเข้าไป ๆๆ การกระโดดทำให้กล้ามเนื้อที่ขาเเข็งเเรง ขาไม่ใหญ่หรอกนะ เเล้วที่สำคัญที่สุด กระโดดบ่อยๆเพิ่มความสูงได้ด้วย
-ตอนประมาณสัปดาห์ที่สอง หน้าของสาวๆจะซีดๆหน่อย เพราะขาดจากเนื้อสัตว์และเเป้งไปนาน เเต่ไม่ต้องห่วง สักพักมันก็จะชินเอง
-เกือบลืม...เรากินมังสะวิรัสด้วยนะ เพราะเนื้อสัตว์ย่อยยาก ต่อให้พยายามลดน้ำหนักเเค่ไหนมันก็คงจะยากมากๆเลย



Credit >> http://www.dek-d.com

ผลไม้สำหรับลดความอ้วน

แอปเปิล : ผลไม้เบสิคในการลดความอ้วน ที่สาวๆส่วนใหญ่ชอบทาน เพราะมันให้รสหวาน แต่ให้พลังงานน้อย โดยแอปเปิล 1 ลูกจะให้ พลังงานเพียง 59  แคลอรี่เท่านั้น  แถมยังมีเส้นใยสูงช่วยให้ระบบขับถ่ายดียิ่งขึ้น และคุณสมบัติที่สำคัญในการลดความอ้วนของแอปเปิล คือ ความหวานของแอปเปิลจะเกิดจากน้ำตาลฟรักโทส ซื่งจะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้าๆ ช่วยให้ร่างกายไม่รู้สึกหิว อยู่ท้องได้นาน

ฝรั่ง : เจ้านี้หาง่ายสุดๆไปตามตลาดก็เจอ ตามรถเข็น ตามห้างก็เจอ ฝรั่งมีสรรพคุณช่วยลดความอ้วนและยังมีวิตามินซีสูงช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ไร้ริ้วรอยอีกด้วย(แนะนำให้กินเปล่าๆนะ อย่าไปจัดพวกน้ำจิ้ม เพราะจะเพิ่มแคอรี่เข้าไปอีก)

แตงโม : ผลไม้ชนิดนี้ก็ให้รสหวานแต่ก็ไม่ทำให้อ้วนขึ้นแต่อย่างใด แตงโมยังประกอบไปด้วยน้ำถึง 93 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เวลากินแตงโมจะรู้สึกอิ่มเร็ว ถ้าลองใข้แตงโมแทนอาหารเย็น สักสามวันน้ำหนักลดลงแน่นอน

ส้ม : ถึงแม้จะให้พลังงานสูง แต่ก็มีกากใยสูงเช่นกัน  ทำให้ช่วยลดความอ้วนได้ แนะนำให้กินไปทั้งเส้นใยเลย ไม่ต้องแกะเส้นใยขาวๆออก

มะละกอ : ถ้าหากทานมะละกอนอกจากจะทำให้ผิวพรรณสวยงามเปล่งปลั่งแล้ว มะละกอก็ยังสามารถขจัดไขมันในร่างกายด้วย และยังมีเอนไซม์ปาเปนที่มีคุณสมบัติช่วยย่อยโปรตีนได้ด้วย ผลไม้ชนิดนี้ก็หาซื้อทานง่ายมากเช่นกัน

แก้วมังกร : เป็นพืชต่างชาติที่เข้ามามีบทบาทในการลดความอ้วนของคนไทยมาไม่กี่ปีมานี้ และเป็นที่นิยมอย่างสูงด้วย เรื่องจากแก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง ให้พลังงานน้อย อยู่ท้องและมีที่สำคัญคือมีรสอร่อย

Credit >> http://www.nofat.in.th/

วิ่งลดหุ่นอย่างไรให้ได้ผล

การวิ่งเป็นวิธีออกกำลังกายที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่อยากลดหุ่นให้เพรียวงามยิ่งขึ้น ซึ่งการวิ่งให้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงและส่งผลดีต่อร่างกายนั้น จำเป็นต้องวิ่งอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ พร้อมทั้งรู้จักการปฏิบัติตัวทั้งก่อนและหลังวิ่งอย่างถูกต้อง จะมีวิธีการอย่างไรบ้าง ลองมาปฏิบัติตามกันเลยดีกว่า

สร้างแรงบันดาลใจ

            ก่อนจะเริ่มทำการใหญ่ ใจต้องมาก่อน ลองตั้งเป้าหมายถึงน้ำหนักที่คุณต้องการลดไว้ แล้วมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตาม หรือเพื่อภารกิจใดภารกิจหนึ่งที่ต้องการให้เพื่อนๆ ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง หรือจะเป็นการทำเพื่อพิชิตใจชายหนุ่มก็ได้ เท่านี้ก็ทำให้แรงใจเหลือเฟือแล้วล่ะ

เตรียมอุปกรณ์

            เพิ่มสีสันให้วันออกกำลังกายด้วยเครื่องแต่งตัวที่ดูสนุกสนานน่าสวมใสแทนที่จะเป็นเสื้อยืดตัวเก่าเก็บ พร้อมทั้งผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อสีสด ขวดน้ำแบบสะพาย โหลดเพลงลงมือถือ และสิ่งสุดท้ายที่ควรให้ความสำคัญที่สุดคือรองเท้าสำหรับวิ่ง ที่ควรจะเลือกใช้รองเท้ากีฬาเฉพาะด้านเพื่อให้ซัพพอร์ทเท้าและรองรับน้ำหนักของเราอย่างแท้จริง ซึ่งในปัจจุบันนี้หลากแบรนด์ดังต่างก็ออกแบบรองเท้าให้ดูทันสมัย น่าสวมใส่ไม่แพ้รองเท้าแฟชั่นทั่วไปเลยทีเดียว และต้องใส่ถุงเท้าที่มีความหนาสักนิด เพื่อช่วยรองรับแรงเสียดสีขณะวิ่งด้วยทุกครั้ง

ยืดเส้นยืดสาย

            ก่อนวิ่งทุกครั้ง อย่าลืมวอร์มอัพเพื่อยืดเส้นสายให้กล้ามเนื้อได้ตื่นตัวพร้อมออกกำลัง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะทำให้ร่างกายไม่บาดเจ็บ แล้วจึงเริ่มเดินไปเรื่อยๆ สักพัก เพื่อให้ร่างกายเราเข้าที่เข้าทาง จากนั้นจึงค่อยเริ่มวิ่ง

วิ่งอย่างถูกวิธี

            ท่าวิ่งที่ถูกต้องคือวิ่งตัวตรง ไม่โน้มไปด้านหน้าหรือหลัง กำมือหลวมๆ ไม่ต้องงอแขนจนถึงกับพับขึ้นมา เอาแค่ไม่เกิน 90 องศา ที่สำคัญคืออย่าวิ่งลงปลายเท้า เพราะนอกจากจะมีผลทำให้น่องโตแล้ว การวิ่งแบบนี้นานๆ ยังอาจทำให้บาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายได้ วิ่งลงให้เต็มฝ่าเท้าจะดีที่สุด ส่วนระยะในการวิ่งนั้นให้เริ่มวิ่งจากระยะทางไม่ไกลมากแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มระยะทางไปเรื่อยๆ แต่ควรวิ่งติดกันในระยะเวลาที่นานพอในระดับหนึ่ง เช่น กำหนดว่าวิ่ง 1 กิโลเมตร ก็ให้วิ่งหนึ่งกิโลเมตรรวดเดียว หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเดินแบบเร็วๆ ก็ได้ พอแรงเริ่มอยู่ตัวจึงค่อยวิ่งให้ไกลขึ้น

            ในกรณีที่รู้สึกว่าเหนื่อยและอยากจะหยุดวิ่ง แต่ไม่ได้มีอาการปวดที่หน้าอก ให้พยายามฝืนวิ่งต่อไป แต่ให้ลดความเร็วลง จนรู้สึกว่าสามารถวิ่งได้ตามปกติ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังดึงเอาไขมันมาใช้ และเมื่อเราวิ่งต่อจากช่วงนี้แล้วรู้สึกเหนื่อยหรือคิดว่าวิ่งพอแล้วให้เดินต่ออีกสักนิดเพื่อเป็นการคูลดาวน์ให้แก่ร่างกาย จากนั้นจึงหยุดนั่งหรือยืนเฉยๆ

ควบคุมอาหารหลังกิน

            แม้จะวิ่งวันละสามเวลา แต่ถ้ายังกินวันละ 4 มื้อเหมือนเดิมก็คงไม่สามารถช่วยให้คุณผอมลงได้ ดังนั้นควรจำกัดเรื่องเวลาและปริมาณการกินในมื้อเย็นให้น้อยลงแม้จะรู้สึกหิวกว่าปกติก็ตาม และควรทำให้สม่ำเสมอ เพราะไขมันและน้ำตาลสะสมจะถูกดึงเอาไปใช้ทุกครั้งที่เราได้ออกกำลังกาย ถ้าเราไม่เติมกลับลงไปให้เท่าเดิม เราก็จะมีน้ำหนักที่ลดลงได้อย่างที่ตั้งใจไว้ อีกทั้งการวิ่งเป็นประจำแบบนี้ยังทำให้เราเคยชินกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและรู้สึกอยากอาหารในมื้อเย็นน้อยลงตามไปด้วย

            เท่านี้ก็คงจะได้ทราบแล้วว่า การวิ่งออกกำลังกายอย่างถูกต้องและได้ประโยชน์อย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลังเลยสักนิด ถ้าคุณมีความใส่ใจและตั้งใจ และมีความสม่ำเสมอในการปฏิบัติ หุ่นสวยก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

Credit >> http://www.nofat.in.th/

ลดความอ้วนด้วยการทานส้มตำกันดีกว่า

ลดความอ้วน ด้วยการทานว้มตำกันดีกว่า  มาดูกันเลยว่าทำไหม ทานส้มตำลดความอ้วนได้ ตามมาเลย การ ที่เราบอกว่าทาน ส้มตำช่วยให้ ลดน้ำได้จริง เพราะว่าส้มตำนั้นเป็น ของที่เรียกได้ว่า ตำผัก ผลไม้ ที่เป็นการ ช่วยขับถ่าย ต่อร่างกายแบบว่า ดียอดเยี่ยมเลยที่เดียว ลองมาเลือกมาทานกันได้เลยนะว่าจะดีจริง อย่างที่เราพูก มาหรือป่าว เราขอท้าลอง ว่าดูกันเลยว่าส้มตำ ช่วยได้มากแค่ไหน

Credit >> http://health.wq45.com

วิธีลดน้ำหนักง่ายๆ โดยไม่พึ่งยา

ณ ปัจจุบัน สาว ๆ โดยทั่วไปหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น อยากสวย อยากหุ่นดีกันทั้งนั้น แต่ว่ามีหลายคนที่หันไปพึ่งยาลดน้ำหนัก โดยที่ไม่ผ่าน อ.ย.  อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ไม่รู้ตัว แต่บางคนที่ทานยาลดน้ำหนักแล้ว จะรู้สึกทรมานตัวเอง เช่น หิวน้ำ มึนหัว วิงเวียน เบลอ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นผลข้างเคียงจากยาลดน้ำหนักกันทั้งนั้น วันนี้แอดมินก็จะมาแนะนำวิธีลดน้ำหนักโดยที่ไม่ต้องพึ่งยากัน ลองมาดูกันได้ที่นี่เลยนะ

วิธีลดน้ำหนัก

1.    ดื่มน้ำมาก ๆ  สาว ๆ คนไหนที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักก็ควรที่จะดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยควรให้ได้วันละ 8 แก้ว เพื่อที่จะชดเชยน้ำที่ร่างกายได้ขับออกไป อีกอย่างยังช่วยให้ไม่หิวบ่อยอีกด้วยนะ
2.    เลิกทานของจุบจิบ ใช่ อันนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ กันเลยทีเดียว การทานของจุบจิบเป็นอะไรที่สาว ๆ อย่างเราต้องทานกันเป็นประจำ แต่ว่าใครที่อยากลดน้ำหนักก็ต้องเลิกที่จะทานอาหารพวกนี้กันนะ ไม่งั้นน้ำหนักคงจะลดยาก
3.    เลิกทานของมัน ใครที่ไม่อยากอ้วนไปมากกว่านี้ก็ต้องงดซะนะ ถ้าเป็นพวกเนื้อย่าง ตามร้านต่าง ๆ ก็ต้องเลิกเด็ดขาด เพื่อหุ่นที่สวยงามของเรา
4.    ทานอาหารก่อน 17.00 นะ
5.    ควรหมั่นออกกำลังกาย เป็นประจำ เพราะว่าจะช่วยในเรื่องการเผาพลาญพลังงานได้ดี ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที/วัน

http://health.wq45.com

วิธีลดความอ้วนแบบธรรมชาติ

คุณกำลังมองหาวิธีลดน้ำหนัก โดยที่ไม่ต้องพึ่งยากันอยู่หรือไม่ ถ้ากำลังมองหาอยู่ละก็ ที่นี่คือคำตอบของคุณเป็นอย่างแน่นอน เพราะว่าวันนี้แอดมินได้นำเคล็ดลับดี ๆ มาฝากสาว ๆ กัน แต่ว่าจะเน้นในเรื่องการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย พร้อมกันหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันได้เลยนะ

วิธีลดความอ้วนแบบธรรมชาติ

1.    ไม่กินข้าวมื้อเย็น ตัวนี้ละ จะเป็นการตัดสินว่าเราจะอ้วนขึ้นหรือว่าจะผอมกันแน่ สาว ๆ คนไหนที่อยากมีหุ่นดีก็ต้องไม่กินข้าวเย็น แต่ว่าหันมารับประทานผักผลไม้แทน รับรองว่าทำข้อนี้ได้ ผอมแน่นอน ชัวร์
2.    ใน 1 สัปดาห์ สาว ๆ ลองเลือก 1 วัน เพื่อที่จะงด ข้าว แป้ง ไขมัน แต่ว่าหันมาทานผักผลไม้เช่น มะละกอ องุ่น ส้ม แอปเปิ้ล เป็นต้น แต่ไม่ควรทานผลไม้ที่ให้แคลอรีสูง เช่น  ทุเรียน
3.    อาหารทุกมื้อ ควรที่จะพยายามเคี้ยวช้า ๆ ถ้าเราทานเร็ว เราจะกินได้เยอะมากขึ้น อีกอย่างการที่เราเคี้ยวช้า ๆ จะทำให้ระบบย่อยอาหารเราย่อยได้น้อยลง ย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น
4.    หมั่นดื่มน้ำเปล่า ก่อนรับประทานอาหาร สาว ๆ คนไหนที่อยากลดน้ำหนักกัน ต้องดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ครั้งละ 1-2 แก้ว จะทำให้เราทานอาหารให้น้อยลง
5.    การออกกำลังกาย จะสามารถเผาพลาญพลังงาน และไขมันเราได้มากขึ้น ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที ควรออกกำลังกายอย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นอย่างต่ำ

http://health.wq45.com


วิธีลดน้ำหนัก ภายใน 3 วัน หุ่นเพอเฟ็กต์

สาว ๆ หลายคนกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักอยู่หรือไม่ ยื่งนับวัน น้ำหนักก็ยิ่งเพิ่ม เสื้อตัวเดิมก็ใส่ไม่ได้แล้ว อารมณ์เสียมาก ๆ อย่าพึ่งวีนกันนะค่ะ เพราะว่าวันนี้แอดมินได้นำสูตรลดน้ำหนักภายใน 3 วัน มาฝากสาว ๆ กันนะ ใครที่อยากลดน้ำหนักกันแบบว่าเร่งด่วนทันใจละก็ ต้องมาดูกันได้ที่นี่เลย รับรองได้เลยว่าจะต้องลดน้ำหนักได้ทันใจเป็นอย่างแน่นอน งั้นอย่ารอช้ารีบมาดูกันดีกว่านะ

วิธีลดน้ำหนัก ภายใน 3 วัน

วันที่ 1

    เช้า  ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น กับกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
    กลางวัน ไข่ต้ม
    เย็น สลัดผัก

วันที่ 2

    เช้า ไข่ลวก
    กลางวัน ต้มปลาช่อน
    เย็น โยเกิร์ต

วันที่ 3

    เช้า นมพร่องมันเนย
    กลางวัน ส้มตำ + ปลาแซลมอน 1 ชิ้น
    เย็น ส้ม 2 ผล ตามด้วยน้ำเปล่า 1-2 แก้ว

*** สูตรนี้แอดมินรับรองได้เลยว่าละน้ำหนักได้แน่นอน แต่ว่าสาว ๆ จะต้องพยายามในการลดน้ำหนัก ห้ามขี้เกียจกลางคันนะ ต้องใช้ความพยายามถึงจะลดได้ ***

Credit >> http://health.wq45.com

วิธีลดความอ้วนด้วย 35 วิธีต่อไปนี้

อยากลดหุ่นให้เข้าที่หรือ? ง่าย ๆ เลยค่ะ ลองเลือกทำตามวิธีลดความอ้วน ที่กระปุกดอทคอมนำฝากในวันนี้ ดูสิว่า วิธีไหนเหมาะสมกับคุณบ้าง หรือจะเลือกใช้ทุกวิธี เอาให้ผอมทันใจก็ย่อมได้ รับรองว่าดีต่อสุขภาพค่ะ

1.รับประทานผัก-ผลไม้มาก ๆ

          อย่าละเลยการรับประทานผัก-ผลไม้เด็ดขาดค่ะ เพราะผักผลไม้มีทั้งเส้นใย และสารอาหารต่าง ๆ ที่ดีกับคุณสาว ๆ แถมทานมากเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนด้วย

2. หลีกเลี่ยงการทานอาหารทอด ๆ และติดมัน

          อาหารทอด ๆ มาพร้อมกับน้ำมันที่จะมาทำให้คุณอวบอั๋นขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นเดียวกับอาหารเนื้อสัตว์ติดมัน เช่น กุนเชียง หมูสามชั้นทอดกรอบ หนังไก่ กากหมู ถ้าไม่อยากอ้วน อดใจไว้ค่ะ

3.ทานดาร์กช็อกโกแลต

          ใช่ค่ะ คุณหูไม่ฝาด เรากำลังแนะนำให้คุณทานช็อกโกแลต แต่ไม่ใช่ว่าช็อกโกแลตทั่ว ๆ ไปก็ทานได้หรอกนะคะ ต้องเป็นดาร์ก ช็อกโกแลตเท่านั้น ถึงจะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ และเป็นประโยชน์กับร่างกายของคุณสาว ๆ

4. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

          แทบจะทุกบทความ ที่แนะนำให้คุณดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ จึงช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินให้คุณด้วย ซ้ำยังช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้นด้วย หากคุณดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนทานอาหารทุกครั้ง แต่อย่าชะแว้บ! ไปมอง "น้ำอัดลม" หรือ "น้ำผลไม้" เชียว ยกเว้น "น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง" ที่เราแนะนำให้คุณดื่มได้

5.ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วหลังตื่นนอน

          จำ และทำให้เป็นนิสัย เพราะการดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ทันทีหลังจากที่คุณเพิ่งตื่นนอน จะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังจะช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทั้งหนักทั้งเบา ทำงานได้อย่างคล่องตัว

6.ทานอาหารเช้า

          จำได้ไหมว่า อาหารเช้าคืออาหารมื้อสำคัญที่สุดของวัน ถ้าหากคุณสาว ๆ พลาดอาหารเช้าในช่วงเวลา 6.00-10.00 น.ไปล่ะก็ คุณอาจจะรู้สึกหิวในมื้อต่อ ๆ ไปมากขึ้น ทีนี้ล่ะ คุณอาจจะเผลอตัวเผลอใจสวาปามอาหารที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ยั้ง แล้วจะลดน้ำหนักได้อย่างไรล่ะจ๊ะ

7.กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน

          การไดเอท ไม่ได้สำคัญที่ว่าคุณทานอะไรเข้าไป แต่สำคัญที่ว่า ทำไมคุณถึงทานเข้าไปต่างหาก ฉะนั้นแล้ว หากใครชอบกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เพียงเพื่ออยากทานสิ่งนั้น จงเปลี่ยนพฤติกรรมด่วนค่ะ ทานให้แต่พออิ่มจะดีกว่า และควรทานเมื่อเวลาที่หิวจริง ๆ

8.ออกกำลังกายสำคัญสุด ๆ

          แน่นอนว่า หนึ่งในวิธีที่คนทั่วโลกแนะนำก็คือ การออกกำลังกายนี่แหละ เพราะมันจะช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาวได้ แถมยังจะช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีให้กลายเป็นพลังงานได้คราวละมาก ๆ ด้วย หากคุณสาว ๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลองหาเวลาเดินวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน นอกจากคุณจะควบคุมน้ำหนักได้ดีแล้ว ยังจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงอีกด้วยล่ะ

9.หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไดเอท

          เขาว่า "คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย" ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้น อย่ามาท้อแท้กับการไดเอทเพียงลำพังเลย ลองหาเพื่อนที่มีแนวคิดเดียวกัน แล้วชวนมาลดความอ้วนด้วยกันดีกว่า เพราะการมีเพื่อนหัวอกเดียวกัน จะทำให้คุณมีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ

10.อย่ากักตุนอาหารในตู้เย็น

          สาว ๆ มักจะชอบซื้ออะไรต่อมิอะไรมาเก็บไว้ในตู้เย็น อ้างว่าเตรียมไว้รับรองแขกบ้าง ไว้เลี้ยงเพื่อนบ้างล่ะ แต่สุดท้ายก็มักจะเหลือเต็มตู้เย็น จนคุณสาว ๆ นั่นแหละต้องมาทานเอง เพราะฉะนั้น หากไม่อยากอ้วน กำจัดของกินในตู้เย็นโดยด่วน คุณจะได้ไม่เผลอหยิบติดมือมาทานได้ง่ายเกินไปนั่นเอง แต่ถ้าอยากจะมีอาหารติดในตู้เย็น แนะนำว่า ผักผลไม้ และบรรดาอาหารเพื่อสุขภาพทั้งหลายจะเวิร์กที่สุดค่ะ

11.อย่ากินไป ดูทีวีไป

          รู้หรอกน่า ว่าคุณสาว ๆ ชอบกินนั่น กินนี่ กินจุบกินจิบทั้งวันไม่เป็นเวลา โดยเฉพาะเวลานั่งดูโทรทัศน์ หรือนั่งอ่านหนังสือ มักจะหาอะไรติดไม้ติดมือเข้าปากเป็นประจำ แต่นั่นแหละค่ะ การที่คุณสาว ๆ หยิบคุ้กกี้บ้าง ขนมปังกรอบบ้าง มันฝรั่งทอดบ้าง เข้าปากแต่ละที คุณจะเพลินจนลืมเรื่อง "อ้วน" ไปชั่วขณะเลยทีเดียว

12.ใส่ใจ "ข้าวกล้อง" กันให้มากขึ้น

          ปกติเรามักจะชินกับการรับประทาน "ข้าวขาว" ซึ่งจะได้เพียงแค่คาร์โบไฮเดรตเท่านั้น แต่หากคุณเปลี่ยนมาทาน "ข้าวกล้อง" แทน คุณจะได้ทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่มากมายจากเยื่อหุ้มและจมูกข้าวที่ไม่ได้ถูกขัดสีออกไป

13."น้ำตาล" และ "เกลือ" จอมวายร้าย

          "น้ำตาล" เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก เพราะฉะนั้นบรรดาของหวาน ลูกอม น้ำอัดลม เค้กต่าง ๆ จงงดเสีย!!! ให้ดื่มน้ำมะนาวแทน หรือทานน้ำตาลที่มาจากผลไม้จะดีกว่า เช่นเดียวกับ "เกลือ" ที่เราควรได้รับโซเดียมวันละไม่เกิน 1 ช้อนชาเท่านั้น แต่เกลือ หรือโซเดียมที่ผสมอยู่ในขนมต่าง ๆ อาหารฟาสต์ฟู้ดส์ รวมทั้งซุปที่ทานเข้าไปในแต่ละวัน ล้วนเกินปริมาณที่กำหนด จึงเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง และทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพมากมายตามมาได้ เพราะฉะนั้น ลดซะ!!!

14.ระวัง!!! สลัดน้ำข้น

          คุณสาว ๆ หลายคนอาจสงสัย ทำไมทานสลัดอยู่ทุกวัน ๆ ยังอ้วนอีก เพราะลืมไปว่า ตัวเองทานผักสลัดกับสลัดน้ำข้นนั่นไงล่ะ รู้ไหมว่า สลัดน้ำข้นนั้นอุดมไปด้วยครีมนม และไขมันนม ซึ่งหากรับประทานเข้าไปมาก ๆ แม้จะทานกับผักก็เถอะ ร้อยทั้งร้อย "อ้วน" อย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ

15.สรรหาจานสีเข้ม ๆ

          มีผลการศึกษาระบุว่า การใช้จานอาหารสีสดใสจะช่วยกระตุ้นให้คุณอยากทานอาหารมากขึ้น กลับกันหากคุณใช้จานอาหารสีเข้ม ๆ โดยเฉพาะสีน้ำเงิน จะทำให้คุณลดความอยากอาหารลงไปได้ และนี่เองจะช่วยสกัดกั้นไม่ให้คุณทานมาก จะได้ไม่ต้องลดน้ำหนักอย่างเอาเป็นเอาตายภายหลังอย่างไรล่ะคะ

16. ใช้ภาชนะให้เล็กลง

          นอกจากใช้ภาชนะสีเข้ม ๆ แล้ว การเปลี่ยนจานให้เล็กลง ก็เป็นวิธีทางจิตวิทยา ที่ทำให้เรารู้สึกว่า อาหารมีปริมาณมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็ว ไม่อยากหาอะไรทานอีก

17.ลด "ชา" , "กาแฟ" , "ครีมเทียม"

          การรับประทาน "ชา" , "กาแฟ" มากกว่าสองแก้วต่อวัน อาจทำให้คุณอ้วนได้ โดยเฉพาะหากใครชอบใส่ "ครีมเทียม" ในกาแฟ จะทำให้คุณได้รับแคลอรี่มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งกาแฟสดทั้งหลายด้วยล่ะ

18.เคี้ยวช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม

          การเคี้ยวอาหารช้า ๆ และเคี้ยวอย่างละเอียด ช่วยคุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะจะทำให้สมองมีเวลาที่จะส่งสัญญาณไปบอกให้ท้องรู้สึกอิ่มได้แล้ว กลับกันคนที่เคี้ยวเร็ว กินเร็ว จะไม่รู้สึกอิ่มแม้ทานอาหารหมดจานแล้ว และเมื่อท้องไม่อิ่ม คุณสาว ๆ ก็มักจะมองหาของหวานตบท้ายมื้ออาหาร ซึ่งจะนำความอ้วนมาสู่ร่างกายของคุณอย่างชัวร์ ๆ

19.หลีกเลี่ยงไข่แดง ให้ทานไข่ขาว

          ไข่แดง อุดมไปด้วยคอเลสเตอรอล ที่เป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจ และโรคอ้วน แต่ไข่ขาวไม่มีคอเลสเตอรอล ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานไข่แดง หรือทานในปริมาณน้อย และหันมาทานไข่ขาวแทน นอกจากนี้ หากวันไหนทานไข่มาก ๆ ก็ควรงดการทานอาหารที่มีไขมันสูงในมื้ออื่น ๆ ของวันเดียวกันด้วย เพื่อไม่ให้มีคอเลสเตอรอลสะสมในร่างกายมากเกินไป

20.อย่าให้รางวัลตัวเอง ด้วยการไปทานอาหาร

          สอบผ่าน! โปรเจกท์ผ่าน! พรีเซนต์งานผ่าน! ไปฉลองกันดีกว่า!!! หยุดความคิดนี้เลยค่ะ เพราะการที่คุณให้รางวัลกับความสำเร็จของตัวเอง ด้วยการไปรับประทานอาหารตามใจปาก อาจทำให้คุณอ้วนได้เหมือนกัน ทางที่ดีให้รางวัลกับตัวเองด้วยการทำสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ยกเว้นเรื่องกิน!!! เช่น ไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยวพักผ่อน นวดหน้า ทำผม ขัดผิว ฯลฯ จะดีที่สุดค่ะ

21.จำไว้ อย่าอด

          ใช่ว่า การไดเอทคือการอดอาหาร เพราะยิ่งคุณอดอาหารเท่าไหร่ จะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด แถมยังทำให้คุณหิวมากขึ้นมากขึ้น จนทำให้คุณสามารถทานได้มากกว่าปกติในมื้อต่อไป

22.แบ่งทานบางส่วน ไม่ต้องทานให้หมด

          สาว ๆ หลายคนบ่นเสียดายอาหารที่อยู่ตรงหน้า ไม่อยากเหลือทิ้งไว้ แต่สำหรับกฎเกณฑ์ของการลดความอ้วน คุณไม่จำเป็นต้องทานหมดหรอกค่ะ โดยคุณควรจะแบ่งอาหารในจานไว้ 4 ส่วน แล้วทานเพียงแค่ 3 ส่วนก็เพียงพอแล้ว

23.อย่าทานอะไรหลังมื้อเย็นอีก

          ไม่ดีแน่ หากคุณทานขนม หรืออาหารอะไรหลังจากคุณทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ทางที่ดีคือ ควรจะให้ร่างกายได้พักผ่อนจากการย่อยอาหาร แล้วไปเริ่มทำงานใหม่ในมื้อเช้าของวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า

24.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่า หากคุณพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ อาจจะมีผลกระทบต่อฮอร์โมนเลปติน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหาร ดังนั้น อาจทำให้คุณยับยั้งชั่งใจในการรับประทานไม่อยู่ และอ้วนขึ้นได้ นอกจากนี้ หากคุณนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว ก็สามารถช่วยให้ร่างกายกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้เช่นกัน


25. ทานหลาย ๆ มื้อ (เล็ก ๆ) ในหนึ่งวัน

          ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การทานอาหาร 4-5 มื้อเล็ก ๆ ในแต่ละวัน จะช่วยควบคุมระบบการเผาผลาญ และความอยากอาหารได้ดีกว่าการทานอาหารมื้อปกติ 3 มื้อ โดยระหว่างมื้ออาหาร คุณอาจทานสแน็ก หรือผลไม้ เพื่อให้คุณอิ่ม และไม่หิวมากจนกระทั่งถึงมื้อต่อไป ทีนี้ในมื้อต่อไป คุณก็จะทานอาหารได้น้อยลงแล้ว

26. โปรตีน ตัวช่วยลดความอ้วนในทุก ๆ มื้อ

          มีคำแนะนำให้ในแต่ละมื้ออาหารต้องมีอาหารประเภทโปรตีนผสมด้วย เพราะโปรตีนจะช่วยคงสภาพกล้ามเนื้อ และกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น โดยโปรตีนที่แนะนำก็คือ อาหารจำพวกถั่ว นม โยเกิร์ตนั่นเอง

27.เผ็ดหน่อย อร่อยดี

          การศึกษาพบว่า "พริก" ช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย และช่วยในการเผาผลาญ จึงมีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ การกินพริก จะไม่ทำให้รู้สึกอยากกินหวานอีก รับรองว่า กินพริกแล้ว ลืมเรื่องความอ้วนไปได้เลย

28.ดื่มชาเขียว

          มหาวิทยาลัยสวิสเซอร์แลนด์พบว่า การดื่มชาเขียวเป็นทางหนึ่งที่ช่วยลดน้ำหนัก เพราะจะช่วยเรื่องการเผาผลาญแคลอรี่ได้ ดังนั้นควรพยายามดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า ต้องเป็นชาเขียวบริสุทธิ์จริง ๆ ไม่ใช่ชาเขียวในขวดที่มีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณมาก แบบนี้ลดความอ้วนไม่ได้แน่นอนค่ะ

29. ดื่มนม ก็ช่วยลดความอ้วน

          หากไม่ชอบดื่มชาเขียว จะลองหันมาดื่มนมก็ช่วยลดความอ้วนได้ เพราะนมเป็นแหล่งอุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งมีการศึกษาพบว่า การที่ร่างกายได้รับวิตามินดีและแคลเซียมสูง จะช่วยให้น้ำหนักของเราลดลงได้ แถมนมยังทำให้เรารู้สึกอิ่มจนไม่อยากทานอาหาร หรือเครื่องดื่มอะไรที่มีน้ำตาลด้วย

30.อ่านฉลากรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ด้วยล่ะ

          ก่อนซื้ออาหารหรือเครื่องดื่ม ลองอ่านรายละเอียดที่ติดอยู่ข้างผลิตภัณฑ์ หีบห่อ ฯลฯ ดูก่อนทุกครั้ง เพราะมันจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีแคลอรีสูง หรือไขมันสูงได้ แต่ขอย้ำว่า ยามใดที่ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ควรหลีกเลี่ยงการไปเดินในบริเวณที่ขายคุ้กกี้ พิซซ่าแช่แข็ง และไอศกรีม เพราะคุณอาจจะไม่ทันได้อ่านฉลากข้างกล่องก็ซื้อมันได้ง่าย ๆ เพราะติดใจในความอร่อยของมันนั่นเอง

31..จดบันทึกประจำวันให้เป็นนิสัย

          แต่ละวันคุณกินอะไรไปบ้าง ลองจดบันทึกไว้ทุก ๆ สัปดาห์ดูสิ เพราะมันจะช่วยให้คุณยับยั้งชั้งใจ และควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้ดีเลยทีเดียว

32.ทานผลไม้สด ดีกว่าผลไม้ดอง หรือน้ำผลไม้ปั่น

          น้ำผลไม้ปั่นมักผสมน้ำเชื่อม น้ำตาล ทำให้คุณสาว ๆ ได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็น ขณะเดียวกัน ผลไม้ดอง ก็อาจมีสารแซคคารีน หรือที่เรียกว่าขัณฑสกรผสมอยู่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้วิตามินที่ครบถ้วน เลือกทานผลไม้สดดีกว่าแน่นอนค่ะ

33.ความเครียด คือ จุดอ่อน

          รู้ไหมคะว่า เมื่อฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้น ก็ทำให้ความต้องการอาหารในร่างกายเพิ่มขึ้น หรือทำให้หิวนั่นเอง แถมหิวบ่อยชนิดที่ไม่รู้ตัวเลยด้วย เพราะคนเครียดส่วนใหญ่มักจะจมอยู่กับความเครียด จนลืมสังเกตพฤติกรรมการกินของตัวเอง ดังนั้น ทำตัวเองให้ห่างไกลจากความเครียดเถอะค่ะ

34.หัวเราะ ช่วยลดความอ้วน

          งานวิจัยระบุว่า การหัวเราะจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ขณะเราหัวเราะ จะหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปได้มากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อท้องได้ออกกำลังไปในตัว

35.ชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้ง

          ไม่จำเป็นที่คุณจะรีบร้อน ชั่งน้ำหนักตัวทุก ๆ วัน เพราะหากคุณลดไม่ได้ดังใจปรารถนาแล้ว จะยิ่งทำให้คุณเครียดเสียเปล่า ๆ เพราะฉะนั้น ชั่งน้ำหนัก และเปลือยกายสำรวจตัวเองในห้องน้ำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอแล้วล่ะ

Credit >> http://hilight.kapook.com/

อาหารสำหรับลดน้ำหนัก

วิธีการลดน้ำหนักที่ดีที่สุดนั้น คือการออกกำลังกายและการเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ และลดความอยากลง แล้วอาหารอะไรบ้างที่จะช่วยให้คุณนั้นผอมลงได้ มาดูกัน

 1. พริก จากผลการวิจัยในประเทศญี่ปุ่นพบว่า สารแคปไซซิน (Capsaicin) ในพริกช่วยลดการความรู้สึกอยากอาหารได้

 2. ถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัต อัลมอนด์ ถั่วเพียงหนึ่งกำมือนั้นจะมีแคลอรีสูงถึง 165 กิโลแคลอรี แต่ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย Purdue ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า การกินถั่วเปลือกแข็งนั้นจะช่วยกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญดีขึ้นอีก 11 เปอร์เซ็นต์และลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย

 3. เต้าหู้ ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนา สหรัฐอเมริกา พบว่า การกินเต้าหู้ 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนกินอาหารนั้นจะช่วยลดความอยากอาหารได้ 42 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
 4. น้ำส้มสายชูวินิการ์ ผลการวิจัยจากประเทศสวีเดนชี้ชัดว่า หากกินน้ำส้มสายชูวินิการ์พร้อมอาหาร กรดอะซิติกในน้ำส้มสายชูจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง จึงอิ่มนานขึ้น

 5. ลูกแพร์ นอกจากลูกแพร์จะมีไฟเบอร์สูงแล้ว ผลการวิจัยในบราซิลยังชี้ว่า ผู้หญิงที่กินลูกแพร์ขนาดเล็กหลังอาหาร เป็นเวลา 2 เดือน มีน้ำหนักลดลง ½ กิโลกรัม

Credit >> http://www.shape.in.th

10 วิธีห่างไกลจากโรคอ้วน

ในปัจจุบันการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมเปลี่ยนไปมาก เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างๆ ความเร่งรีบของการดำเนินชีวิตประจำวัน วัฒนธรรมของต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย ทำให้การรับประทานอาหารของแต่ละคนนั้นเปลี่ยนไป สังเกตจากอาหารส่วนใหญ่นั้นเต็มไปด้วยแป้ง มีน้ำตาล-ไขมันเป็นส่วนประกอบเพิ่มมากขึ้น แต่ขาดอาหารที่ให้วิตามิน เกลือแร่ และอาหารที่มีเส้นใย ทำให้ความสมดุลของการเผาผลาญอาหารผิดปกติไป ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนตามมา ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคอื่น ๆ มากมาย

เพชรดาว ทัศนศร นักโภชนาการประจำโรงพยาบาลเวชธานี ให้คำีแนะนำไว้ว่า วิธป้องกันโรคอ้วนควรเลือกรับประทานอาหารที่ได้สัดส่วนกันในแต่ละมื้อ และสำหรับผู้ที่อ้วนอยู่แล้วก็ต้องควบคุมอาหาร โดยมีหลักง่าย ๆ ดังนี้

1.อาหารในกลุ่มข้าวและแป้งนั้น ต้องทานให้พอดี ไม่ควรงดรับประทานเลย เพราะอาจทำให้น้ำตาลในเลือดน้อยลง ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ สำหรับข้าวและแป้งที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักควรให้เลือกที่ ผ่านการขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต ธัญพืช เพราะจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายช้าๆ ทำให้ไม่อ้วน
2.อาหารกลุ่มโปรตีนหรือเนื้อสัตว์นั้นควรเลือกที่ไม่ติดหนัง-ติดมัน หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น แฮม ไส้กรอก กุนเชียง เพราะให้พลังงานสูงและมีไขมันมาก
3.นม ควรรับประทานนมจืด หากเป็น โยเกิร์ต แนะนำรสธรรมชาติ หากต้องการมีรสชาติก็ให้เติมผลไม้สดลงไปด้วย
4.อาหารประเภทไขมัน ไขมันนั้นยังมีความจำเป็นต่อร่างกายของคนเราเพื่อใช้ในการละลายวิตามินบางตัว แนะนำให้เลือกไขมันชนิดไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว ยกเว้นน้ำมันปาล์ม กะทิจากมะพร้าว และการปรุงประกอบอาหารแนะนำให้ใช้วิธีอบ ต้ม นึ่ง ตุ๋น ย่าง ผัด แทนการทอดด้วยน้ำมันมาก ๆ
5.อาหารที่ให้เส้นใยสูง หาได้จากผักและผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง (ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ) ซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะเส้นใยโดยเฉพาะชนิดที่ละลายน้ำ เช่น เพกตินในแอปเปิ้ล สตรอว์เบอร์รี่ ข้าวโอ๊ต จะมีเมือกมาก เมือกจะทำหน้าที่เกาะคอเลสเตอรอลแล้วขับออกจากร่างกาย สำหรับเส้นใยชนิดไม่ละลายน้ำ เป็นยาระบายตามธรรมชาติเพื่อป้องกันท้องผูก
6.เลือกทานอาหารที่มีพลังงานต่ำ เช่น ผลไม้ โยเกิร์ต รสธรรมชาติ
7.ฝึกฝนวางแผนการรับประทานอาหารให้ดี หากต้องไปงานเลี้ยง โดยในวันนั้นก่อนไปงานเลี้ยง ต้องเลือกทานอาหารไขมันต่ำเส้นใยสูงไว้ก่อน
8.มีการดัดแปลงอาหารให้เป็นอาหารพลังงานต่ำ เช่น น้ำสลัด พบว่าในน้ำสลัดมีน้ำมันพืชเป็นส่วนประกอบ หากมีการดัดแปลงจากน้ำสลัดมาเป็นน้ำยำ ก็จะทำให้ได้อาหารที่มีไขมันต่ำ
9.ถ้างด ชา-กาแฟไม่ได้ ก็ควรไม่ใส่ครีมเทียมหรือน้ำตาล
10.ออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นประจำ เพราะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

Credit >> http://www.shape.in.th

เครื่องดื่มสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนัก

หากคุณกำลังอยากกินผลไม้แต่กลัวอ้วนจะทำอย่างไรดี ? เราจึงขอมาแนะนำเครื่องดื่มน้ำผักน้ำผลไม้แสนอร่อยที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังอยากลดความอ้วน เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อ้วนแล้วยังมีส่วนในการเพิ่มพลังงาน ทดแทนน้ำที่ได้สูญเสียไปขณะที่ออกกำลังกาย ช่วยล้างพิษ และยังเป็นตัวช่วยไม่ให้โทรมอีกด้วย

ส่วนผสม สำหรับ 1 แก้ว (200 มล.)
ขิง 1 ชิ้น (2.5 เซ็นติเมตร)
ขึ้นฉ่าย 75 กรัม (หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ)
แครอท 300 กรัม (หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ)
สาหร่ายสไปรูลินา 1 ช้อนโต๊ะ (จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
เทียนข้าเปลือก 50 กรัม

คำแนะนำ ควรดื่มน้ำผักผลไม้วันละ 1-3 แก้ว

Credit >> http://www.shape.in.th

วิธีออกกำลังกายให้ได้ผลดี

การออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ 5 วันต่อสัปดาห์ เรื่องนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมารับรอง และได้บอกไว้ว่า คนเราควรออกกำลังกายครั้งละประมาณ 30 นาที ให้ได้ 5 วันต่อสัปดาห์  การออกกำลังกายที่คนส่วนใหญ่นิยมปฏิบัติกัน ได้แก่กิจกรรมต่างๆ ดังต่อไปนี้

    วิ่งเหยาะๆ โดยใช้เวลา 30 นาที พลังงานที่ใช้ไปจะเท่ากับ 325 แคลอรี
    เต้นแอโรบิก โดยใช้เวลา 30 นาที พลังงานที่ใช้ไปจะเท่ากับ 170 แคลอรี
    เดินช็อปปิ้ง โดยใช้เวลา 30 นาที พลังงานที่ใช้ไปจะเท่ากับ 100 แคลอรี
    ทำความสะอาดบ้าน  โดยใช้เวลา 30 นาที พลังงานที่ใช้ไปจะเท่ากับ 135 แคลอรี
    การทำสวน โดยใช้เวลา 30 นาที พลังงานที่ใช้ไปจะเท่ากับ 160 แคลอรี

การออกกำลังกายในกิจกรรมแต่ละอย่างยังขึ้นกับว่าคุณได้ออกแรงในการทำกิจกรรมมากน้อยแค่ไหนด้วย

จำไว้ง่ายๆว่าแค่คุณขยับร่างกายก็เท่ากับคุณได้ออกกำลังกันแล้ว สำหรับใครที่ต้องการมีสุขภาพที่ดีควรลุกขึ้นมาขยับส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อเป็นการบริหารตัวเองกันดีกว่า

Credit >> http://www.shape.in.th

การลดคอเลสเตอรอล

ใครรู้ตัวว่ามีคอเลสเตอรอลสูงเกินกำหนด และอยากรู้วิธีการลดคอเลสเตอรอลเชิญทางนี้


1. ไม่รับประทานอาหารประเภทไขมันสัตว์ เครื่องในสัตว์ และไม่ทานอาหารจำพวกแป้ง

2. พยายามทำให้  HDL ในเลือดเพิ่มขึ้นด้วยวิธีดังต่อไปนี้

2.1 พยายามออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ และควรงดสูบบุหรี่

2.2 ควรรับประทานกรดไลโนเลอิก ซึ่งมีอยู่ในน้ำมันพืชทั่วไปให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือให้ได้ร้อยละ 10 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับ

2.3 ต้องไม่เครียดทำใจให้สบายเป็นคนร่าเริงแจ่มใส

3. พยายามรับประทานผลไม้และผักสดในแต่ละวันให้มากขึ้นกว่าเดิม

Credit >> http://www.shape.in.th

วิธีลดไขมันหน้าท้อง

คอลัมน์ออกกำลังเป็นยาวิเศษเผยว่าการควบคุมปริมาณ และชนิดของอาหารในแต่ละมื้อ พร้อมทั้งดื่มน้ำตามให้มากๆ ควบกับกินเม็ดแมงลักแช่น้ำอุ่นสัก 1 แก้ว ผสมน้ำหวานนิดหน่อย ก่อน 5 โมงเย็น จะทำให้เราปลอดภัยจากไขมัน

“ไขมัน” เป็นสิ่งที่เราสร้างมาเองทั้งนั้น แต่เราก็ต้องมานั่งปวดหัวเพื่อที่จะกำจัดมันซะเอง

สำหรับเทคนิคในการสลายไขมันที่จะนำมาแนะนำในวันนี้มาจากคอลัมน์ “ออกกำลังกายเป็นยาวิเศษ” ในจดหมายข่าว “สร้างสุข” เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ อ.รุ่งชัย ชวนไชยะกูล และแผนงานส่งเสริมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพ สสส. บอกไว้ว่า

เคล็ดเทคนิค คือ ให้ “พลังงานที่กินเข้าไปต้องน้อยกว่าพลังงานที่ใช้” โดยเริ่มจากต้องกินให้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น หัวใจหลักก็คือต้อง “ควบคุมปริมาณอาหาร ชนิดของอาหารแต่ละมื้อ” อย่างเคร่งครัดนั่นเอง แต่ความต้องการพลังงานของคนเรานั้นก็แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ เพศ อายุ ลักษณะและขนาดรูปร่างของร่างกาย

วิธีนี้อาจทำให้ร่างกายต้องการ และจะหักโหมกินอาหารในมื้อต่อไปมากขึ้นซึ่งก็มีทางแก้ง่าย ๆ คือต้องดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ หรือลดความหิวด้วยการนำเม็ดแมงลักมาแช่ในน้ำอุ่นสัก 1 แก้ว แล้วเติมน้ำหวานลงไปนิดหน่อย แล้วรอให้เม็ดแมงลักพองตัว แล้วดื่มให้หมด เพราะพลังงานที่เกิดจากการกินเม็ดแมงลักเข้าไปนั้นจะถูกใช้มากที่สุด และควรจะกินเม็ดแมงลักก่อน 5 โมงเย็น

ส่วนอีกวิธีก็คือ การออกกำลังกายให้นานกว่าปรกติ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ซึ่งก็คือหากจะลดน้ำหนักลงครึ่งกิโลกรัมใน 1 อาทิตย์ จะต้องออกกำลังกายเผาผลาญไขมันให้ได้วันละ 500 กิโลแคลอรี และต้องออกกำลังกายติดต่อกันทั้ง 7 วัน แต่การออกกำลังกายทุกวันนั้นอาจหนักเกินไป ทำให้ร่างกายไม่มีเวลาพักผ่อน อาจเกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า โทรมได้

ดังนั้น จึงไม่ควรเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ถ้าทำทั้งสองวิธีไปพร้อมๆใน 1 วัน ด้วยการลดกินอาหารลงประมาณ 250 กิโลแคลอรี และออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันวันละ 250 กิโลแคลอรี ก็จะช่วยให้ไม่เราโหยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักของเราลดลงทีละน้อ อย่างถาวรด้วย

Credit >> http://www.shape.in.th

มากินผักกันเถอะ

การดูแลร่างกายให้มีสุขภาพดีและไม่มีโรค เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สาวๆ หันมากินผักกันมากขึ้น โดยเฉพาะการใส่ใจรูปร่างด้วยการกินผัก จัดว่าเป็นที่นิยมที่สุดเลยก็ว่าได้ เช่นเดียวกับดาราในวงการบันเทิงในบ้านเรา ที่ต่างก็มีเทคนิคการดูแลรูปร่างและนิยมกินผักในสไตล์ของของตัวเอง

ลองมาดูกันดีกว่า ที่ดาราแต่ละคนมีรูปร่างเป๊ะและสวยเป๊ะขนาดนี้ พวกเธอมีเคล็ดลับเฉพาะตัวในการเลือกกินผักควบคู่กับการดูแลสุขภาพกันอย่างไรบ้าง

เอ๊ะ-อิศริยา สายสนั่น

“ปกติก็ชอบผักทุกอย่าง เพราะเป็นคนทานง่ายอยู่แล้วค่ะ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากค่ะ เลือกอาหารที่สดสะอาดปลอดภัย ออกกำลังกายก็พอแล้วค่ะ เพราะโดยมากแล้วจะทำงานไม่ค้อยเป็นเวลา เรื่องการกินก็เลยต้องใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ กินผักที่สดและสะอาดทุกวันก็จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงมากขึ้นค่ะ”

กวาง-ฟ้ารุ่ง ยุติกรรม

“ส่วนตัวกวางเองก็ชอบกินผักผลไม้อยู่แล้ว แต่เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนไปทำงานที่ฮ่องกง ได้กินแต่ของที่ทำมาจากแป้งกับขนมปังตลอดเวลา ตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่าระบบการขับถ่ายเปลี่ยนไป ไม่ค่อยปกติเหมือนเดิม ก็เลยมาคิดถึงสาเหตุว่าเพราะอะไร ก็นึกได้ว่าเราไม่ค่อยได้กินผักเหมือนเมื่อก่อน ก็เลยพยายามหันมาทานผักมากให้ขึ้น โดยเฉพาะมื้อเย็น กวางจะเลือกกินสลัดกับน้ำสลัดอร่อยๆ กินได้ทุกวันไม่เบื่อเลยค่ะ แล้วยังดูแลรูปร่างได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ เพราะการที่เราจะสวยได้ กวางคิดว่า เราต้องสวยจากภายในสู่ภายนอกถึงจะทำให้รูปร่างเราดูดีอย่างแท้จริงค่ะ”

จูน-สาวิตรี โรจนพฤกษ์

“ปกติเป็นคนชอบทานอาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบของอยู่แล้วค่ะ อาหารที่ทานประจำจะเป็นพวกสลัดผัก แล้วก็ต้องนอนผักผ่อนอย่างเพียงพอ ควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็ยิ่งดีต่อสุขภาพร่างกายของเราได้มากเลยค่ะ”

ฟาง-พิชญา ศรีเทพย์

“ถ้าเป็นพวกผัก ส่วนใหญ่จะชอบผัดผัด หรือผักอะไรก็ได้ที่สดๆ กรอบๆ แล้วก็ส้มตำค่ะ เพราะอร่อยถูกปาก กินง่าย ไม่อ้วน และก็ร้านที่อร่อยๆ อยู่หลายที่ หาทานง่ายด้วยนะคะ แล้วก็จะเป็นพวกสลัด นี่ก็อร่อย หาทานง่าย บางที เวลาไม่มีเวลา ก็ซื้อมาเก็บไว้ได้ แต่ไม่แช่ตู้เย็นไว้นานค่ะ เพราะเดี๋ยวจะเสีย ไม่อร่อยเหมือนตอนซื้อมาแล้วทานทันที การดื่มน้ำมากๆ นี่ช่วยให้ร่างกายผิวพรรณดูดีด้วยค่ะ”

วิว-วรรณรท สนธิไชย

“คุณแม่ก็สอนให้กินผักมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วค่ะ อาหารทุกมื้อจะต้องมีผักเป็นส่วนประกอบเสมอ และหลังอาหารจะดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ผิวชุ่มชื่น ปกติวิวเองก็จะออกกำลังกายเป็นประจำ ยิ่งช่วงนี้ต้องทำงานไปด้วย ออกกองถ่ายบ่อยขึ้น ก็ยิ่งต้องทานอาหารให้ครบ พักผ่อนอย่างเพียงพอ ดูแลตัวเองให้มากกว่าเดิม เพื่อสุขภาพที่ดี พร้อมรับมือกับชีวิตประจำวันมากที่สุดค่ะ”

ส้ม-กนกกร ใจชื่น

“ปกติก็เลือกกินผักที่เราชอบหรือกินง่ายๆ พวก ผักกาด แตงกวา แจมด้วยผลไม้ เลือกที่มีรสไม่ขมเกินไป แต่ส่วนตัวแล้วชอบกินผักสดมากกว่า เพราะมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน และมีเส้นใยมากกว่า ช่วยให้ระบบเผาผลาญของเราดีขึ้นด้วย ถ้าที่ชอบกินจริงๆ ก็จะเป็นพวกสลัด เพราะผักกาดแก้วนี่ของโปรดเลย กินกับทูน่า อร่อยสุดๆไปเลย แล้วก็ไม่ต้องกลัวอ้วนด้วยค่ะ”

Credit >> http://www.shape.in.th

วีธีลดรอบเอว

ใครอยากมีเอวบางร่างน้อย สวมใส่อะไรก็สวย ดูดี มาปฏิบัติตัวตามวิธีต่อไปนี้กันดีกว่า แต่ก่อนที่จะทำอะไรลองมาหาคำตอบจากคำถามเหล่านี้กันดูก่อน

มีรอบเอวเกินขนาด หมายถึงอะไร ?

รอบเอวของเราจะเล็กหรือจะใหญ่นั้น เกิดจากไขมันในช่องท้อง ผลการวิจัยพิสูจน์ได้ว่า เอวของคนเราที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 5 เซนติเมตร นั้น มีโอกาสทำให้คนๆ นั้นเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้ถึง 3-5 เท่า และยังเป็นเหตุของโรคร้ายต่างๆ อีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และมีโอกาสทำให้หลอดเลือดในสมองอุดตันหรือแตกได้ โรคทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่การเสียชีวิต มีการคาดการณ์กันไว้ว่าในปี 2563 จะมีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคร้ายดังกล่าวมากถึง 25 ล้านคน จะยังพบว่ามีแนวโน้มที่ป่วยจะมีอายุน้อยลงไปเรื่อยๆ

สาเหตุสำคัญเกิดจากนิสัยที่เคยชิน ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวร่างกายกันเท่าที่ควร จะใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งๆ นอนๆ กันซะมากกว่า ไม่ค่อยทานผักผลไม้ แต่จะรับประทานอาหารที่ให้พลังงานและไขมันมากเกินไป และไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย การปฏิบัติตัวตามที่กล่าวมานี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคอ้วน

ยิ่งมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเท่าไร อ้วนมากขึ้นเท่าไร จะยิ่งมีส่วนทำให้หัวใจที่ต้องทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่ายกายทำงานหนักมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดเกิดความผิดปกติได้ และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคต่างๆ มากมายหลายชนิด

สำหรับใครที่อยากลองวัดรอบเอวกันขึ้นมาแล้ว ให้ยืนวัดรอบเอวในส่วนที่แคบที่สุดของลำตัว หรือกึ่งกลางระหว่างซี่โครงซี่สุดท้ายกับกระดูกสะโพกด้านหน้า สายวัดจะต้องไม่หลวมหรือแน่นจนเกินไป สำหรับคุณผู้หญิงนั้นต้องมีรอบเอวไม่เกิน 80 เซนติเมตร หรือประมาณ 32 นิ้ว ส่วนคุณผู้ชายต้องไม่เกิน 90 เซนติเมตร หรือประมาณ 36 นิ้ว สำหรับใครที่มีขนาดรอบเอวเกินมากไปกว่านี้ ให้รีบคุมน้ำหนักเพื่อลดรอบเอวอย่างเร่งด่วน

สำหรับวิธีการที่จะใช้ในการลดรอบเอวนั้น นักโภชนาการได้แนะนำเอาไว้ว่า ต้องรู้จัก “กินให้เป็น” รู้จักควบคุมปริมาณอาหารที่จะรับประทานในแต่ละวันให้เหมาะสม ลดอาหารประเภท ข้าว แป้ง น้ำตาล และไขมัน ให้เพิ่มอาหารประเภทโปรตีนจากธรรมชาติที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปแทน เช่น ถั่ว งา เต้าหู้ ผัก ผลไม้ที่ไม่เป็นแป้งและไม่หวาน และธัญพืชต่างๆ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มันจัด หวานจัด และเค็มจัด รวมถึงประเภท ขนมปัง เค้ก คุกกี้ มันฝรั่งทอด ขนมหวาน เป็นต้น

อีกวิธีที่ปฏิบัติได้ง่ายๆ คือ ให้พยายามยืดอาหารมื้อเช้าให้เป็นมื้อหลักของวัน ส่วนมื้ออื่นควรกินแค่พออิ่ม และสำหรับมื้อเย็นควรรับประทานก่อนเวลานอนไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง เพื่อให้ระบบร่างกายสามารถย่อยอาหารได้เต็มที่ และมีประสิทธิภาพ รวมถึงระบบทำงานอื่นๆ มีเวลาได้พักผ่อน

สุดท้าย พยายามออกกำลังกายเพื่อลดพุงหรือหน้าท้องให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน และครั้งละประมาณ 30 นาที ไม่ว่าจะเป็นวิธีปฏิบัติแบบใดก็ได้ ขอเพียงให้คุณลดน้ำหนักให้ได้อย่างน้อย 5-10% ของน้ำหนักตัวเท่านั้น ก็จะเท่ากับว่าไขมันในช่องท้องของคุณได้ลดลงไปไม่ต่ำกว่า 30% กันเลยทีเดียว

Credit >> http://www.shape.in.th

สูตรขาเรียวสวยได้ด้วยท่าบริหารเพียง 3 ท่า

เชื่อได้คุณผู้หญิงคนไหนๆก็อยากจะมีขาที่เรียวสวยด้วยกันทั้งนั้น อาจจะเป็นเพราะในปัจจุบันแนวแฟชั่นที่ใส่ประโปรงหรือกางเกงสั้นๆกำลังเป็นที่นิยม เราจึงขอแนะนำท่าบริหารเรียวขาจากนิตยสาร Spicy ที่ช่วยให้ขาของคุณนั้นเรียวสวย เพียงแค่ 3 ท่า เท่านั้น ก็จะช่วยให้คุณใส่กระโปรงหรือกางเกงสั้นๆได้อย่างสบายๆ

    การปั่นจักรยานอยู่กับที่ ซึ่งคุณจะต้องปั่นแบบเร็วๆ ห้ามปั่นช้า เพราะการปั่นช้าๆอาจจะเป็นการเพิ่มกล้ามเนื้อบริเวณน่องให้ใหญ่ยิ่งขึ้น หรืออาจจะกลายเป็นขาหมูไปเลยก็ได้

    ให้นั่งเอียง 45 องศา วางหรือผูกเวทหนัก 1 กิโลกรัม ไว้บนขาข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นให้เกร็งหน้าท้องพร้อมกับค่อยๆยกขาขึ้นลงเร็วๆ และเมื่อครบ 20 ครั้ง ก็ให้เปลี่ยนเวทไปวางหรือผูกไว้ที่อีกข้างแล้วยกขึ้นลงเหมือนกัน แต่ถ้าหากว่าคุณมีเวทสองอันก็สามารถที่จะยกข้างขึ้นลงสลับกันได้เลย ในท่านี้ควรทำ 3 เซต เซตละ 10 ครั้ง อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 วัน แต่ในตอนแรกเริ่มคุณควรทำอย่างช้าๆไปก่อน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวให้เข้ากับเวท

    นอนราบลงกับพื้น จากนั้นให้ไขว้ข้อเท้าไว้ด้วยกัน แล้วงอเข่ามาให้ชิดอกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วยืดออก ต่อมาให้คลายข้อเท้าทั้งสองออกจากกับและกลับมาสู่ท่าเดิม ทำเป็นเซต เซตละ 20 ครั้งทุกๆวัน เพราในท่านี้จะช่วยลดต้นขาด้านในของคุณได้ดี


Credit >> http://www.shape.in.th

ป้องกันโรคอ้วนด้วยบันได

นักวิจัยชาวสหรัฐฯ ค้นพบวิธีการสู้กับความอ้วน โดยการให้ใช้บันไดขึ้นลงตึกแทนลิฟต์ โดยเชื่อกันว่ามันจะเป็นหนทางทำให้ชีวิตของเรานั้นมีความเข้มแข็งว่องไว กระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น

นักวิทยาศาสตร์สุขภาพ นั้นกำลังคิดค้นหาวิธีที่จะใช้บันไดตามอาคารบ้านเรือน เป็นอาวุธต่อสู้กับโรคอ้วน โดยหัวหน้าคณะศึกษา ดร.อิชัค เอ.มันซี่ ศูนย์วิทยา-ศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยรัฐหลุยเซียนา แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้บอกไว้ว่า คณะนักวิจัยมุ่งที่จะปรับปรุงแบบ และทำเลที่ตั้งบันได เพื่อให้เป็นประโยชน์ในการต่อสู้กับโรคอ้วน

“เราจะต้องออกแบบบันได ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการประสานกัน ทั้งทางด้านสถาปัตย์และทางด้านกฎหมาย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับชีวิตที่คล่องแคล่ว ว่องไว”

ทางคณะนักวิจัยมีความเชื่อว่า การส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ หรือบันไดเลื่อน นั้นจะเป็นหนทางที่ทำให้ชีวิตของเรานั้นมีความเข้มแข็งว่องไวยิ่งขึ้น และได้ชี้ว่าการเคลื่อนไหวร่างกาย ตั้งแต่ขนาดเบาไปจนถึงปานกลางนั้น เป็นวิธีการส่งเสริมให้ผู้คน ที่ปัจจุบันที่มักจะไม่ค่อยเคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉงนัก ซ้ำยังอ้วนอีกด้วยได้เคลื่อนไหวร่างกายตนเอง

รายงานการศึกษาบรรยายไว้ว่า ยังมีวิธีการง่าย ๆ เพื่อที่จะส่งเสริมให้คนพากันใช้บันไดให้ให้มากขึ้น ซึ่งได้ค้นพบกันอีกหลายวิธี ตั้งแต่การสร้างขั้นบันไดให้กว้างขึ้น และแต่ละขั้นก็อย่าสูงเกินไปนัก นอกจากนั้นถ้ามีการติดเครื่องปรับอากาศ และเปิดเพลงให้ฟังตลอดการขึ้นบันไดก็จะยิ่งดี

Credit >> http://www.shape.in.th

หุ่นเพียวหลังจากการปาร์ตี้

เทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมานี้ ถ้าใครเผลอตามใจปากกินเกินลิมิตไปหน่อย ต้องคงต้องรีบกลับมาฟิตหุ่นกันด่วนจี๋เลยละสิ ขืนถ้าเราปล่อยทิ้งไว้นาน ๆแล้วละก้อ เดี๋ยวมันจะสายเกินแก้เอานะ ผู้อำนวยการด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ประกันสังคม โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 “นพ.วิชัย เดชะทัตตานนท์” มีเทคนิคดีๆเพื่อหุ่นสวย และสุขภาพดี หลังสนุกกับปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มาฝากนะคั

เทคนิคแรกในการลดพุงหลังจากงานปาร์ตี้ คุณหมอได้แนะนำไว้ว่า ควรงดการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ขนมปัง แป้งพิซซ่า เค้ก หรือขนมหวาน แล้วหันมาเลือกทานผักผลไม้ ในสัดส่วน 80% ต่อโปรตีน 20% และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานทุกชนิด

นอกจากนั้น ก็ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารทอด และอาหารที่มีรสหวาน ถ้าอยากกินเพียงนิดหน่อยแต่อิ่มได้เร็ว คุณหมอแนะนำว่าให้เคี้ยวช้า ๆ เพราะสมองของเรานั้นจะสั่งให้เราอิ่มภายใน 20 นาที นับจากที่เราเริ่มกินอาหาร คนที่กินเร็วจะได้ปริมาณแคลอรีมากกว่าคนที่กินอย่างช้าๆ พิถีพิถัน

ถ้าเราดื่มน้ำเปล่า แทนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น้ำผลไม้หรือน้ำอัดลม ก็จะช่วยลดไขมันได้อย่างทันตาเห็นเลยทีเดียว เพราะว่าเครื่องดื่มเหล่านี้เพียงแก้วเดียวนั้นให้พลังงานถึง 300 แคลอรี เทียบไม่ได้เลยกับน้ำเปล่าที่ให้พลังงานเพียงแค่ 10 แคลอรีเท่านั้น

วิธีสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องออกกำลังกายหลังอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง มันจะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้ดีที่สุด ทำให้เหลือแคลอรีติดร่างกายในปริมาณที่น้อยมาก และยังไปช่วยกระตุ้นให้ฮอร์โมนยับยั้งความอยากอาหารด้วย โดยการออกกำลังกายให้ได้ผลคือ ต้องออกกำลังกายในแต่ละครั้งให้มากกว่า 30 นาทีขึ้นไป จึงจะสามารถเผาผลาญแคลลอรี่ และทำให้พุงยุบได้ทันตา แม้จะไปปาร์ตี้หนักๆมาก็ตาม

Credit >> http://www.shape.in.th

เพียง 30 นาทีก็สามารถมีหุ่นที่ดีได้

ถ้าหากว่าคุณพยายามที่จะเผาผลาญแคลอรี และลดน้ำหนักด้วยเครื่องออกกำลังกายทั่วๆไป คุณใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที แต่คุณต้องใส่ใจกับมันอย่างเต็มที่ด้วย และจะต้องเพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกายขึ้น ด้วยวิธีการต่อไปนี้

จักรยาน

5 นาที ปั่นแบบสบายๆ ความเร็วไม่ต้องมาก

5 นาที เพิ่มความเร็วขึ้นและลดลงทุก 30 วินาที

5 นาที ปั่นแบบสบายๆ ความเร็วไม่ต้องมาก

5 นาที เพิ่มความเร็วขึ้นให้มากกว่าตอนแรก และลดลงทุก 30 วินาที

5 นาที ปั่นแบบสบายๆ ความเร็วไม่ต้องมาก

5 นาที เพิ่มความเร็วและลดลงทุก 1 นาที

จะเผาผลาญแคลลอรี่ได้ประมาณ 245 แคลอรี (สำหรับคนหนักราว 63 กก.)

อิลิปติคัลเทรนเนอร์

6 นาที ตั้งระดับความชัน และแรงต้านเอาไว้ที่ระดับปานกลาง ความเร็วปานกลาง

2 นาที เพิ่มความชันและแรงต้าน 30 วินาที ความเร็วระดับ 6-8

2 นาที ลดความชันและแรงต้านลงในระดับสบาย ๆ

6 นาที เพิ่มความชันและแรงต้านในระดับปานกลางและหมุนขากลับหลัง ความเร็วปานกลาง

loop ไปจนครบ 30 นาที

จะเผาผลาญแคลลอรี่ได้ประมาณ 250-300 แคลอรี (สำหรับคนหนัก 63 กก.)

ลู่วิ่งไฟฟ้า

เริ่มด้วยปรับระดับความชันเป็น 0 และความเร็วในระดับที่เดินได้สบาย ๆ

1 นาที ค่อยๆเพิ่มความชันขึ้นทีละหนึ่งเปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้นทุก 15 วินาที ในความเร็วในระดับปานกลาง

1 นาที ค่อยๆลดความชันลงทีละหนึ่งเปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้นทุก 15 วินาทีในความเร็วในระดับปานกลาง

3 นาที เดินหรือวิ่งด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอ ความเร็วปานกลาง

ทำซ้ำทั้งหมดนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบ 30 นาที หรือมากกว่านั้นก็ได้

จะเผาผลาญแคลลอรี่ได้ประมาณ 320 แคลอรี (สำหรับคนหนักราว 63 กก.)


Tip

ก่อนที่จะออกกำลังกายแต่ละอย่างนั้น ควรที่จะวอร์มอัพสัก 5-10 นาทีก่อน ด้วยการออกกำลังแบบคาร์ดิโอเบา ๆ และจับตาดูอัตราการเต้นของหัวใจเอาไว้ แล้วจบด้วยการคูลดาวน์และยืดเส้นเสมอ

Q เมื่อน้ำหนักลดลงแล้ว เราจำเป็นต้องออกกำลังกายขนาดไหน เพื่อที่จะไม่ให้น้ำหนักกลับมาเหมือนเดิม

A การศึกษาวิจัยจบ่งชี้ว่าต้องใช้เวลาค่อนข้างนานราวๆ 90 นาทีต่อวันเลยทีเดียว แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้น คุณสามารถที่จะรักษาน้ำหนักไม่ให้ขึ้นอีกได้ ด้วยการออกกำลังกายประมาณวันละ 45 นาทีก็เพียงพอแล้ว ถ้าคุณระวังเรื่องการกินอาหาร และเพิ่มการออกกำลังให้หนักขึ้น

เริ่มต้นตั้งแต่ตอนเช้า

การกินอาหารที่เต็มไปด้วยสารอาหาร เช่น ข้าวโอ๊ต ซีเรียจธัญพืช ขนมปังโฮลวีต เมื่อตื่นนอนไดด้สักพักเพื่อเป็นการปลุกระบบเผาผลาญอาหารของคุณ และทำให้มันเดินไปเรื่อย ๆ โดยผลจากการศึกษาของ National Weight Control Registry ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ศึกษาอย่างต่อเนื่องในกลุ่มคน 5,000 คน ซึ่งลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 66 ปอนด์ และยังคงรักษามันไว้ได้อย่างนั้นมากกว่า 5 ปี โดยที่ 78% ของคนที่รักษาน้ำหนักนั้นไว้ได้ รับประทานอาหารเช้าด้วย

Credit >> http://www.shape.in.th

ความรู้เกี่ยวกับการไดเอต

สัญญานที่บ่งบอกว่า การไดเอทของคุณนั้นไม่ได้ผล

“พี่เคยเข้าคอร์สไดเอต แต่ตอนนี้พี่ล้มเลิกแล้วหละ…”

เสียงบ่นของสาวๆร่างท่วมส่วนใหญ่เมื่ออยู่กับเพื่อนๆ หลังจากที่เธอไดด้เข้าคอร์สไดเอตเวลาสั้น ๆ ด้วยตัวเอง แต่ความหวังที่จะลดน้ำหนักนั้นกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เธอเล่าถึงความผิดหวังจากการลดน้ำหนักของเธอ ความยากลำบากจากการตั้งใจทำ ในสิ่งที่เธอมองว่ามันสุดดแสนจะทรมาน การออกกำลังกายที่แสนจะน่าเบื่อ การหักห้ามใจไม่ให้รับประทานอาหารที่ตัวเองชอบ ทุก ๆ อย่างที่เธอทดลองทำนั้น เธอคิดว่ามันล้มเหลวไม่เป็นท่า ตอนนี้เธอจึงกลับมามีพฤติกรรมการรับประทานอาหารแบบเดิม



ที่กล่าวมานี้ก็คือ ตัวอย่างของสัญญาณของความล้มเหลวของเส้นทางไปสู่การมีหุ่นที่ดี ฟิตแอนด์เฟิร์ม นั่นเอง ก่อนที่คุณจะกลายเป็นยายอ้วน หรือนายหมูพะโล้ แต่การเข้าคอร์สไดเอตด้วยตนเอง หลาย ๆ คนมักจะประสบปัญหาล้มเลิกกลางคัน เพราะเขาคิดว่าการไดเอตที่เขาทำอยู่นั้นไม่ได้ผล และตัวเองนั้นคงไม่สามารถมีหุ่นที่ดีได้ ทั้งที่แท้จริงแล้วปัญหาที่เกิขึ้นนั้นอาจเกิดจากการผิดพลาด หรือความเข้าใจผิดบางประการระหว่างขั้นตอนการไดเอตของคุณนั่นเอง ซึ่งเราอาจที่จะต้องทำความเข้ากันใจใหม่ว่า อะไรที่เป็นสัญญาณที่บอกว่าการไดเอตของคุณนั้นอาจที่จะไม่ได้ผล

…มาดูกันว่าคุณนั้นเลยเป็นแบบนี้หรือไม่

การเครียดเกินเหตุ และตั้งความหวังมากเกินไป

การที่เราตั้งความหวัง หรือคาดหวังกับบางสิ่งมากเกินไป และมันไม่ไ้เป็นอย่างที่หวัง ก็อาจถึงขั้นหยุดหวังไปกลางคัน

อุปสรรคแรกของการลดความอ้วนอันล้มเหลวก็คือจิตใจของเรา เมื่อเราไม่สามารถควบคุมความคิด ความเครียด การวนเวียนหมกมุ่นว่าจะต้องระมัดระวังอะไร และการเปลี่ยนการรับประทานอาหารอย่างกะทันหัน เช่น เปลี่ยนการรับประทานอาหารแบบปกติสู่การรับประทานแบบชีวจิต หรือปกติคุณชอบรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ แต่คุณกลับไดเอต โดยการรับประทานแบบมังสวิรัติ ทำให้วิถีชีวิตของคุณเปลี่ยนมากเกินไป จนไม่สามารถที่จะอดทนต่อความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้ ร่างกายของเราที่จะต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับระบบต่าง ๆ การลดน้ำหนักจึงไม่ได้ผล เนื่องจากความเครียด รวมไปถึงการคาดหวังว่าจะต้องจำกัดระยะเวลาเท่าไหร่ ต้องลดได้เท่าไหร่ สิ่งต่าง ๆ  ที่สำคัญความเครียดนั้นจะทำให้ฮอร์โมนคอร์ดิโซนมากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้เป็นตัวที่มำให้ทการเมตาบอลิซึมทำงานช้าลง จึงเผลาผลาญแคลอรี่ได้น้อยลงไปด้วย

สติแตก เพราะอาหารจานโปรด

ไม่แปลกเลยหากคุณจะยังรู้สึกหวั่นไหว เมื่อได้เห็นอาหารจานโปรดของคุณ หรือเมื่อได้กลิ่นเมนูสุดโปรดที่คุณชอบรับประทานมาก แต่มันจะแปลก และล้มเหลวไปเมื่อคุณสามารถตัดทุกสิ่งให้เป็นไปตามโปรแกรมการไดเอต แต่คุณไม่สามารถตัดเมนูโปรด หรืออาหารในแบบที่คุณชอบได้ เช่น สามารถควบคุมอาหารแบบมัน ๆ ได้ ตัดการปรุงรสแบบหวาน ๆ ได้ แต่ไม่สามารถงดการกินเบียร์เย็น ๆ หลังเลิกงานได้

       ถ้าคุณนั้นยังไม่สามารถทำได้ก็นับเป็นสัญญาณหนึ่งที่ทำนายได้ว่า โปรแกรมไดเอตของคุณครั้งนี้ล้มเหลวอย่างแน่นอน หรือพูดได้เลยว่า สิ้นสุดการไดเอตในครั้งนี้น้ำหนักของคุณจะลดไม่ได้ตามเป้าอย่างแน่นอน …

อดอาหาร…แต่ไม่ออกแรง

การไดเอตตามโปรแกรมของคุณนั้นผ่านไปได้ด้วยดี คุณสามารถอดอาหารไขมันสูงและอาหารที่พลังงานสูงได้ คุณนั้นไม่ทานของหวานหลังมื้ออาหารอีกแล้ว น้ำหนักของคุณที่เคยเป็นส่วนเกินนั้นก็กำลังลดลงไปได้เรื่อย ๆ ด้วยดี แต่คุณไม่ออกกำลังกายหรือออกแรนงแะไรเลย คุณเอาแต่มุ่งมั่นกับการควบคุมอาหาร มันจพทำให้น้ำหนักของคุณนั้นลดลงอย่างไม่มีประสิทธิภาพ รวดเร็วและเห็นผลจนมีคนรอบข้างทัก คิดเพียงแต่เรื่องการอดอาหาร ไม่คำนึงถึงการออกกำลังกายแม้แต่น้อย

สิ่งที่อาจเกิดขึ้นก็คือ น้ำหนักของคุณนั้นจะลดอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าร่างกายคุณนั้นกลับไม่แข็งแรงและมีปัญหาเรื่องความฟิตเฟิร์ม กระชับของกล้ามเนื้อ หรือเป็นไปได้ว่าอาจลดอย่างไรก็ไม่ได้ผล เนื่องจากไม่มีการออกแรง ไม่มีการใช้พลังงานเผาผลาญแคลอรีและไขมันส่วนเกินออกไป การไดเอตที่ดีนั้น คุณควรที่จะทำให้มีจุดสมดุลจึงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด คือ คุณต้องควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กับการออกกำลังกาย

พฤติกรรมคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน บั่นทอนภารกิจลดน้ำหนัก

ความคุ้นเคยในชีวิตประจำวันของเรานั้น อาจที่จะทำให้การควบคุมน้ำหนัก หรือการไดเอตไม่มีประสิทธิภาพก็ได้ เพราะความเคยชินในชีวิตประจำวันนำมาซึ่งอุปสรรคที่คุณไม่รู้ตัว ไม่ว่ามันจะเป็นการอดอาหารเช้า ซึ่งคุณไม่รู้ตัวซะเลยว่า เมื่อเราอดอาหารเช้านั้นมันจะทำให้การเผาผลาญพลังงานของเรานั้นลดประสิทธิภาพลงไปมาก เนื่องจากอาหารเช้านั้นช่วยให้ระดับของเมตาบอลิซึมของคุณเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเลยทีเดียว

ในด้านของนิสัยการรับประทานอาหารจุกจิกของคุณ ถึงแม้คุณจะพยายามลดอาหารหลักที่มีไขมันสูงลงไปอย่างไร ก็ยังไม่อาจหยุดรับประทานของว่างระหว่างวัน พกลูกอมไว้ในกระเป๋าได้ ซึ่งหลาย ๆ สิ่งเป็นความคุ้นเคยแบบผิด ๆ นี้เอง การทำไดเอตนั้นอาจสูญเปล่าได้

และท้ายที่สุดคุณอาจที่จะต้องตรวจเช็คตัวเองอีกว่า การลดน้ำหนักนั้นคุณเข้มงวดกับตัวเองแค่ไหน คุณมีเป้าหมายอย่างไรในการลดน้ำหนักในครั้งนี้ เพราะอันตรายอีกสิ่งหนึ่งอย่างของความล้มเหลว นั่นก็คือ การไร้เป้าหมาย และการขาดการกระตุ้นตัวเอง

อย่าลืมเตือนตัวเอลหละว่า…ฉันจะลดน้ำหนักเพราะฉันอยากสวย อยากมีสุขภาพดี ฉันจะต้องผอมลงให้ได้ ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องมีใครซักคนมาเดินเคียงข้างอย่างอบอุ่น

Credit >> http://www.shape.in.th

นอนหลับให้เพียงพอก็สามารถควบคุมน้ำหนักได้แล้ว

สาวๆ อย่าเพิ่งหัวเราะกันไปนะคะ ว่านอนหลับแค่นี้จะทำให้ความอ้วนของคุณหายวับไปได้ยังไงกัน เพราะความจริงแล้วการไม่นอนนี่ล่ะจะเป็นตัวการขัดขวางไม่ให้คุณผอมลงเลยล่ะ

สาเหตุก็คือ เวลาที่คุณไม่ได้นอนจะทำให้ให้ร่างกายเกิดความเครียด และจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งเป็นตัวการเพิ่มการไหลเวียนของกลูโคส (รวมถึงไขมันและโปรตีน) ในกระแสเลือด เมื่อร่างกายผลิต ออกมาในปริมาณสูง เนื่องจากความเครียดทั้งหลาย ผลที่ตามมาก็คือ ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะสั่งให้ร่างกายเตรียมพลังงานให้พร้อม เพื่อรับมือกับสภาวะความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ซึ่งจะไปเพิ่มปริมาณกลูโคสในกระแสเลือดจนสูงกว่าปกติ เป็นผลให้ให้คุณสูญเสียการสร้างกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะหากคุณกำลังอยู่ในระหว่างลดความอ้วนหรือควบคุมน้ำหนัก ก็มีปัญหาตามมาทันที เพราะจะส่งผลให้พลังงานในรูปแบบของกลูโคส (รวมทั้งไกลโคเจน) นั้นไม่เพียงพอ เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้จะทานอาหารน้อยกว่าปกติ ซึ่งจะยิ่งทำให้เมตาบอลิซึมทำงานช้าลง และทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มสูงขึ้น

ระดับฮอร์โมนการเจริญเติบโตของคนเราจะเพิ่มขึ้นเวลานอนหลับ มีบทบาทช่วยสร้างเสริมกล้ามเนื้อและลดความอ้วนได้ ดังนั้น ยิ่งคุณนอนหลับนานเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักมากขึ้นเท่านั้น

การออกกำลังกายจัดเป็นสุดยอดวิธีลดน้ำหนักวิธีหนึ่ง แต่ถ้าคุณไม่มีเวลา แค่นอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ก็สามารถเร่งอัตราการเสริมสร้างกล้ามเนื้อจากอาหาร และพลังงานอย่างดีเลยล่ะค่ะ

Credit >> http://www.shape.in.th

7 วิธีเผาผลาญไขมันอย่างได้ผล

หากสาวๆ อยากจะให้รูปร่างสวยเพรียว นอกจากว่าเราจะต้องเอาจริงกับมันแล้ว ยังต้องมีวิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้องซึ่งเรามีวิธีดีๆมาแนะนำดังนี้

1. การจำกัดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ
กินมื้อเช้าให้เยอะที่สุด มื้อกลางนั้นวันรองลงมาจากมื้อเช้า ส่วนมื้อเย็นก็ควรเป็นมื้อที่ทานให้น้อยที่สุด หรือกินแค่ผลไม้หรือสลัดผักสักจานก็พอแล้ว

2. ต้องออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์
แต่ละครั้งไม่ควรที่จะต่ำกว่า 30 นาที สาวๆนั้นควรที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ เพื่อจะให้การเผาผลาญไขมันส่วนเกินนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสลายไขมันได้แล้ว การออกกำลังกายในครั้งต่อๆไปก็จะทำให้กล้ามเนื้อของเรากระชับขึ้นและป้องกันไม่ได้ไขมันหวนคืนมาอีก

3. ต้องงดอาหารที่มีไขมันสูงอย่างเด็ดขาด
วิธีนี้คือวิธีที่จะช่วยลดหน้าท้องได้ดีที่สุด เพราะหน้าท้องของเรานั้นจะเป็นที่แรกที่ร่างกายของเราจะเอาไขมัน ส่วนเกินมาเก็บเอาไว้

4. สำหรับการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักนั้น
เราจะต้องเน้นที่การเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะด้วยถึงจะได้ผลดี เช่น เต้น วิ่ง ว่ายน้ำ แอโรบิก

5. ถ้าหากว่าสาวๆ อยากจะออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อลดหน้าท้อง
ควรจะออกกำลังในตอนเช้าจะได้ผลดีที่สุด เพราะว่าในตอนเช้าเป็นเวลาที่ระบบต่างๆ ในลำไส้กำลังทำงาน ถ้าได้ออกกำลังกายมันก็จะยิ่งเสริมการเผาผลาญบริเวณนี้ได้มากกว่าปกติ

6. ถ้าเราต้องการจะลดหน้าท้องให้ได้ผล
หัวใจหลักๆของหัวข้อนี้ อยู่ที่การทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องของเราได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ถ้าท่าลดหน้าท้องที่คุณเลือกนั้นใช้ทำไม่ได้แบบนี้ ก็แปลว่าท่านั้นเป็นท่าที่ไม่ได้เรืองหรือ ต่อให้ออกกำลังกายอย่างหนักแค่ไหน แต่หน้าท้องของเรานั้นไม่ได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อ ก็เท่ากับว่าเราเสียแรงฟรี

7. ท่าบริหารลดหน้าท้อง
ไม่ว่าเรานั้นจะเลือกทำท่าไหนก็ตาม เราควรที่จะทำไม่ต่ำกว่าเซ็ตละ 15 ที จากนั้นเราก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนเซ็ตขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง 3 เซ็ตใน 1 ครั้ง

Credit >> http://www.shape.in.th

Low Fat หรือ Low Carbohydrate

คุณที่กำลังสงสัยเกี่ยวกับ สูตรลดความอ้วน ด้วยการทานอาหารแบบคาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือไขมันต่ำ แบบไหนดีกว่ากัน? ไม่เห็นจำเป็นต้องเลือกนี่ เราลองเอาข้อดีของสูตรการลดน้ำหนักทั้งสองแบบ มาผสมผสานเข้าด้วยกันดีกว่า

1. เริ่มต้นด้วยการลดน้ำหนักด้วยแนวทางการบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และโปรตีนสูงก่อน

ผลการศึกษาต่างๆ เผยให้เห็นว่า เราสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่าในระยะ 6 เดือนแรกด้วยวิธีนี้

2. ค่อยๆ เพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตลงไปในอาหาร

แนะนำว่าควรเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ดี ซึ่งดูได้ง่ายๆ ก็คือ หลีกเลี่ยงการบริโภคอะไรที่เป็น สีขาว อย่างเช่น น้ำตาลฟอกขาว แป้งขาว หรือเลือกบริโภคธัญพืชที่ไม่ขัดสี มีน้ำตาลต่ำ และไม่มีน้ำตาลแทน

3. ใส่ใจกับปริมาณไขมัน

กับดักสำคัญของการบริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ คือการไม่ระวังในปริมาณไขมัน เพราะอาหารโปรตีนสูงหลายชนิดมักจะมีไขมันสูง ควรเลือกบริโภคโปรตีนที่มีไขมันต่ำ หรือแบบที่ไม่มีไขมันดีกว่า

4. กินผัก ผลไม้ เยอะๆ

เมื่อคุณกำลังเข้าสู่ช่วงต่อของการบริโภคคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น ควรแน่ใจว่าคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่นั้นมาจากผักและผลไม้ ควรกินให้ได้อย่างน้อยวันละ 9 ส่วน หรือประมาณ 4.5 ถ้วยเป็นประจำ

5. อย่ากินแล้วนั่งอยู่เฉยๆ

อย่าลืมว่าอาหารคือพลังงาน อย่ากินแล้วนั่งดูโทรทัศน์ แต่ควรออกไปยืดเส้นยืดสาย ไปเข้าฟิตเนส หรือทำกิจกรรมที่จะช่วยเผาผลาญพลังงานที่คุณบริโภคเข้าไปในร่างกาย

Credit >> http://www.shape.in.th

กล้วยหอมกับการลดน้ำหนัก

ใครกันเล่าจะคิดว่ากล้วยหอมนั้นจะเป็นสุดดยอดแห่งการลดดน้ำหนัก

สูตรลดน้ำหนัก ที่ตกเป็นข่าวดังเมื่อไม่นานมานี้เอง ได้แนะนำให้ กินกล้วยหอมเพียง 1-2 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็นก็สามารถที่จะกินได้ตามปกติ อาจจะเพิ่มอาหารว่างตอนบ่ายสาม และสิ่งสำคัญก็คือ งดของหวานและเข้านอนก่อนเที่ยงคืนดด้วย

“ในทางโภชนาการนั้น สูตรดังกล่าวนั้นสามารถที่จะลดน้ำหนักได้จริง ถ้าเป็นคนที่ไม่ทานอาหารเช้าเลย หรือทานอาหารเช้าที่หนักจนเกินไป” แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้อธิบายความเป็นไปได้

กล้วยหอม 1 ลูก มีน้ำหนักประมาณ 100 กรัมเลยทีเดียว (ไม่รวมเปลือก) และจะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ในกรณีที่เรากินข้าวเช้าตามปกติ เช่น ข้าวมันไก่ 1 จาน ที่จะให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรี ถ้าหากเราเปลี่ยนมากินกล้วยหอมเป็นมื้อเช้าแล้วละก็ เราจะได้แคลอรีน้อยลง ในขณะเดียวกันนั้น ถ้าหากว่ากันตามสูตรก็จะให้กินพร้อมกันกับน้ำเปล่า ทำให้อิ่มเร็วขึ้นไปอีก

สำหรับบุคคลที่ไม่เคยกินข้าวเช้า นักโภชนาการได้บอกเอาไว้ว่า สูตรนี้จะไปช่วยได้อย่างมากเลยทีเดียว เนื่องจากจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ให้ได้รับอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่จะจำเป็นต่อร่างกายและสมองเป็นอย่างมาก

“ในสังคมปัจจุบันนั้น คนเราเร่งรีบจนไม่กินอาหารเช้าหรือบางครั้งดื่มเพียงกาแฟ 1 แก้ว ซึ่งมันส่งผลต่อระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายเป็นอย่างมาก กล้วยหอมนั้นจึงถือเป็นอาหารมื้อเช้า ที่จะช่วยให้ระบบการเผาผลาญพลังงานของคุณนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเลยทีเดียว”

ใน ”กล้วย” นั้นนอกจากที่จะมีคาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์แล้ว ก็ยังมีน้ำตาลทั้งกลูโคส, ฟลุกโตส และซูโคส ที่ช่วยเพิ่มพลังกายและสมองของเรา ให้สามารถนำไปใช้ได้ทันที ทำให้นักโภชนาการต่างมองว่า สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยนี้ จะเป็นที่นิยมกันนานมากกว่ากว่าสูตรอื่นๆๆ เนื่องจากเป็นสูตรที่ง่ายๆ ราคาไม่แพงมากนัก แถมยังอร่อย ทำให้คนไม่ฝืนใจกิน ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้กับกล้วยประเภทอื่น ๆ ได้เช่นกัน เล่น กล้วยไข่ เป็นต้น

นอกจากที่เราจะรับประทานกล้วยแล้ว ข้อห้ามเกี่ยวกับของหวานและการนอน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ดีเหมือนเดิม น.ส.แววตาชี้ว่า ของหวานนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลดน้ำหนัก ในขณะที่การจัดเวลาของว่างช่วงบ่ายสามโมงก็ถือว่าดี จากเดิมที่คนไทยนั้นกินของว่างไม่เป็นเวลา ก็จะช่วยให้นาฬิการ่างกายเรียนรู้ และปรับระบบเผาผลาญในช่วงเวลานั้น ส่วนการนอนก่อนเที่ยงคืนนั้น ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเผาผลาญได้ดีขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม นักโภชนาการได้แนะนำว่า สูตรนี้เหมาะสมกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากว่ากล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมอยู่มาก ในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจืดตำลึง หรือ ข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น

ในขณะเดียวกันนั้น สูตรลดน้ำหนักนี้ก็ไม่เหมาะกับเด็กในวัยเรียนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเด็กวัยเรียนจะต้องการโปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่าง วัน โดยนักโภชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนัก อาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ

นักโภชนาการยังบอกอีกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยเท่านั้นที่สามารถนำไปใช้กับสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นๆนั้นก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แคนตาลูป แอ๊ปเปิ้ล หรือแตงโม เป็นต้น แต่ ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน, ขนุน ที่หวานเกินไปหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด

“สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำ เตือนทุกคนก็คือว่า กล้วย 1 ใบนั้น ไม่ใช่อาหารมหัศจรรย์อะไรที่จะทำให้คนเรานั้นเราผอม สวย สุขภาพดี เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ แต่กล้วยก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ให้คนหันมารับประทานอาหารเช้าซึ่งถือว่าเป็นมื้อที่สำคัญมาก และเพิ่มสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ในมื้ออื่นของวัน และยังต้องออกกำลังกายให้สมดุลกับอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวันด้วย เพื่อสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง” น.ส.แววตาได้กล่าวเอาไว้

Credit >> http://www.shape.in.th

ทานอาหารอย่างไรให้ห่างไกลจากคำว่าอ้วน

นอกจากการออกกำลังกายจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถลดน้ำหนักได้แล้ว การเลือกกินอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญอีกหนึ่งสิ่งเช่นเดียวกันที่เป็นตัวช่วยในการลดและควบคุมน้ำหนัก เราจึงขอแนะนำเทคนิคและวิธีการเลือกกินอาหารจาก WomanstoryOnline มาฝากกันเพื่อให้เราห่างไกลจากความอ้วน

โดยปกติแล้วคนอ้วนส่วนใหญ่มักจะมีพฤติกรรมที่กินเร็ว ซึ่งในการกินเร็วนั้นจะส่งผลทำให้เรากินมากขึ้น ทั้งนี้มีการวิจัยออกมาว่า ถ้าหากปรับพฤติกรรมของคนอ้วนให้กินช้าลงจะทำให้ลดน้ำหนักลงได้ เพียงแค่เคี้ยวอาหารให้ช้าลง น้ำหนักก็จะลดลงตามมาด้วยเปรียบได้เหมือนกับการไปออกกำลังกาย และสำหรับคนที่กินเร็วนั้นจะไม่รู้สึกอิ่มเท่ากับคนที่เคี้ยวช้าๆ บางครั้งก็อาจจะทำให้กินเพิ่มมากขึ้น หรือรู้สึกว่าอยากกินของหวานตบท้าย ซึ่งล้วนแต่อาจจะส่งผลให้เกิดเป็นโรคหัวใจ โรคความดัน หรือโรคเบาหวานได้

นอกจากนั้นการที่เราจะกินอาหาร กลิ่น หรือรสที่เราสัมผัส จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา และในความรู้สึกนี้ก็จะส่งต่อไปยังระบบฮอร์โมนให้ปล่อยสารอินสุลิน ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยเอาน้ำตาลเข้าไปในเซลล์และเผาผลาญไปเป็นพลังงาน แต่ทั้งนี้ก็จะต้องเคี้ยวให้นานพอที่จะให้น้ำลายสามารถย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ ถ้าหากกินอาหารแบบเร็วๆไม่เคี้ยว อาหารทั้งก้อนนั้นก็จะถูกส่งลงไปยังกระเพาะ แต่กระเพาะก็จะต้องใช้เวลานานเป็นชั่วโมงในการย่อยอาหาร ในขณะที่สารอินสุลินหลั่งออกมารอน้ำตาลโดยที่ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะว่ากระเพาะนั้นไม่มีการย่อยแป้ง ต่อมาหลังจากนั้นอาหารก็จะถูกส่งผ่านไปยังลำไส้เล็กตอนต้น และเริ่มย่อยแป้งเป็นน้ำตาลแต่น้ำตาลนั้นก็จะถูกอินสุลินดูดนำไปเก็บไว้ และแปลงเป็นไขมันสะสมในที่สุดนั่งเอง

Credit >> http://www.shape.in.th

กินดึกระวังอ้วน

น้ำหนักตัวนั้นเพิ่มขึ้นกว่าการกินอาหารเกือบ 1 เท่าตัว คุณนั้นเป็นคนหนึ่งที่ชอบรับประทานอาหารเวลากลางคืนหรือไม่หละ รู้หรือเปล่าว่านั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่ารวดเร็ว

งานวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาชี้ได้ให้เห็นว่า การมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อเท่านั้น ช่วงเวลาในการรับประทานอาหารก็ถือว่าสำคัญมาก ในเรื่องการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก

ทางนักวิจัยก็ได้ทำการทดสอบโดยให้อาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงกับหนูทดลองทั้งในช่วงเวลากลางวันและเวลากลางคืนในปริมาณที่เท่ากันแล้วก็ได้ พบว่าหนูที่ได้รับอาหารเหล่านี้ในเวลากลางคืนนั้น จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 48% เลยทีเดียว แต่ในขณะที่หนูซึ่งได้รับอาหารในเวลากลางวันนั้นจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเพียง 20% เท่านั้นเอง

หลังจากการทดลองเมื่อนำมาเปรียบเทียบในมนุษย์ก็ได้พบว่า การรับประทานอาหารในช่วงกลางคืนนั้นมันจะทำให้เรามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการรับประทานอาหารในช่วงเวลากลางวันเกือบ 1 เท่าตัวเลยทีเดียว

นักวิจัยได้กล่าวเอาไว้ว่าการวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นให้เรานั้นเห็นถึงประโยชน์ของการรับประทานอาหารเช้า และโทษของการรับประทานอาหารในช่วงเวลากลางคืน เนื่องจากว่าในขณะที่ร่างกายเราหลับนั้นร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงาน แคลอรี่ในร่างกายจึงเปลี่ยนเป็นไขมันแทน

เวลาที่เราคิดว่าเหมาะสมในการรับประทานอาหารนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก นั้นคือ ช่วงก่อนสองทุ่ม

Credit >> http://www.shape.in.th

อาหารสำหรับลดน้ำหนัก

ถึงแม้ว่าเรานั้นจะอยากผอมสักเพียงไหน ก็ไม่จำเป็นว่าเรานั้นต้องอดอยากปากแห้ง แค่คบอาหารพวกนี้เป็นเพื่อน คุณก็มีสิทธิ์ผอมเหมือนกันกับคนอื่นอยู่แล้ว

1. หมากฝรั่งลดความอยาก
มีผลจากการวิจัยออกมาว่า แค่เรานั้นเคี้ยวหมากฝรั่งอย่างเดียวนั้นก็สามารถก็อิ่มได้ เพราว่าะบางทีสิ่งที่คุณนั้นคิดว่าเป็นความหิวอาจจะเป็นแค่อาการโหยอาหาร อยากมีอะไรให้ปากเคียวเพียงแค่นั้น

2. ข้าวโอ๊ตแบบซอง

ข้าวโอ๊ตแบบนี้จะมีขายตามซูเปอร์ทั่วๆไป เพราะฉะนั้นห้ามบ่นเป็นอันขาดว่าหาซื้อไม่ได้ เวลาเราหิวๆ แทนที่เรานั้นจะลุกไปทักทายป้าร้ายขายข้าวแกง แค่คุณชงข้าวโอ๊ตนี่กิน คุณก็จะอิ่มได้ทันที เพราะว่าข้าวโอ๊ตนั้นเป็นอาหารไฟเบอร์สูงเลยหนักท้อง ซองเดียวนั้นก็อยู่ได้หลายชั่วโมงเลยทีเดียว แถมแคลอรี่ก็ยังต่ำ ดีแบบนี้ก็เอาใจนักไดเอทไปเลยๆๆๆ

3. เหลือที่ว่างไว้ให้ขนม
ถ้าชอบหรือโปรขนมอะไรก็ไม่ต้องงด เพียงแต่ต้องตัดข้าวออกไปสักครึ่งจานเพื่อเผื่อท้องของเราไว้ให้ขนมบ้าง อย่าเอาทั้งข้าวทั้งขนม

4. อาหารที่ฉ่ำน้ำ
แตงกวา เห็ดส้มโอ แคนตาลูป แตงโม มะเขือเทศ นั้นควรมีติดตู้เย็นไว้อย่าให้ขาด หรือถ้าหากว่าชอบก๋วยเตี๋ยวก็ต้องกินก๋วยเตี๋ยวน้ำแล้วซดน้ำซุปมากๆ ส่วนมื้อไหนที่ทานข้าว นักไดเอทนั้นก็ควรมีแกงจืดวางประจำเป็นผู้ช่วยอยู่ทุกมื้อด้วย น้ำนั้นจะช่วยให้คุณอิ่มเร็ว แถมยังทำให้เราหนักท้อง และไม่หิวบ่อยๆอีกด้วยหละ

5. เครื่องดื่มร้อนๆ
ความร้อนนั้นจะไปช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารของเรานั้นให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น คนที่ชอบดื่มชาร้อนๆ ตบท้ายมื้ออาหารนั้นจึงมักที่จะผอมกว่าคนที่ตบท้ายด้วยน้ำเย็น

6. อาหารรสจัด
สาร แคปไซซินในพริกเป็นยากระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด คนที่กินพริกหรืออาหารที่ใส่เครื่องเทศรสจัด นั้นจะมีโอกาสผอมเพิ่มขึ้นอีก 20 % เลยทีเดียวโดยที่ไม่ต้องไปวิ่งออกกำลังกายให้เสียเวลา แถมเวลาที่เรากินของเผ็ดนั้นเราก็ต้องดื่มน้ำมากๆ ทำให้เรานั้นกินได้น้อนลงเอง

7. โปรตีนน้อยย่อยง่าย

สุดยอดอาหารโปรตีนที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ นั่นก็คือปลาทุกชนิด นอกจากนี้ก็ยังมี นมไขมันต่ำ ถั่ว อกไก่ ไข่ขาว ปู กุ้ง และเต้าหู้

8. อาหารที่กระตุ้นการทำงาน
ของแบบนี้นั้นหากินได้ไม่ยากเลย เพราะว่ามันก็คือถั่วนั่นเอง จะถั่วลันเตา ถั่วลิสง ถั่วปากอ้าก็ใช้ได้ทั้งนั้น ยกเว้นมะม่วงหิมพานต์ เพราะว่ามันมีไขมันที่สูงมากเลยทีเดียวเชียว

http://www.shape.in.th

การจัดการเรื่องเวลาสามารถช่วยทำให้หุ่นดีได้

การที่เรานั้นจัดตารางเวลาในการรับประทานอาหารในแต่ละวันตามช่วงเวลาที่เหมาะสมนั้น มันจะช่วยให้การควบคุมการทาน และการควบคุมน้ำหนักของเรานั้นเห็นผลได้ โดยที่ไม่ต้องยุ่งยากหาวิธีการอื่น ๆ อีกเลย ซึ่งความเหมาะสมนั้นมาจากตารางนี้

เวลา 05.00 – 07.00 น. ให้เราดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว เพื่อช่วยในการขับถ่าย

เวลา 07.00 – 09.00 น. ให้เราทานอาหารเช้า เพราะเป็นช่วงเวลาที่กระเพาะอาหารทำงาน ถ้าทานได้ทุกวันจะทำให้กระเพาะอาหารแข็งแรง และช่วยให้หน้าไม่แก่เร็ว

เวลา 09.00 – 11.00 น. ให้เรานั้นงดทานอาหาร ขนม และน้ำ เพราะอาหารและน้ำจะแปรสภาพเป็นไขมัน

เวลา 13.00 – 15.00 น. ให้เราควรงดอาหารทุกประเภท เพราะลำไส้เล็กทำงานหนัก

เวลา 15.00 – 17.00 น. ให้เรานั้นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการออกกำลังกาย พยายามให้เหงื่อออก กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง

เวลา 23.00 – 01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ควรงดอาหารและดื่มน้ำก่อนเข้านอน

ถ้าเรานั้นทำตามตารางข้างต้นนี้ได้ครบละก้อรับรองว่า น้ำหนักนั้นจะไม่มารบกวนคุณอีกเลย

Credit >> http://www.shape.in.th

การนอนหลับอย่างไรถึงจะช่วยลดความอ้วน

สาวๆ หลายท่านที่ยังมีปัญหาเรื่องในเรื่องน้ำหนัก ต้องทนทุกข์ทรมานกับการควบคุมอาหาร หรือการที่หักโหมออกกำลังกายที่ต้องใช้ ความอดทนมานาน แถมมันยังไม่ค่อยเห็นผลอีกต่างหาก วันนี้ ทางเรานั้น มีอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องไขมันส่วนเกินแบบง่ายแสนง่าย จนคุณเองนั้นก็คาดไม่ถึง มาฝาก

มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโกกลุ่มหนึ่งได้ค้นพบว่า “เพียงแค่คุณนั้นนอนหลับให้เพียงพอในเวลากลางคืนแล้ว ก็สามารถที่จะไป ช่วยให้ร่างกายของเรานั้นกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้เช่นกัน” แถมยังพบอีกด้วยว่า คนที่นอนน้อยในเวลากลางคืนมีโอกาสจะกลายเป็นคนอ้วนอีกด้วยหละ

โดยผลการทดลองนี้ ได้มาจากการทดลองทำในกลุ่มอาสาสมัคร 10 คน ใช้เวลานาน 4 อาทิตย์โดยที่ในการทำวิจัยนั้นจะให้ทุกคนนั้น รับประทานอาหารแคลอรีต่ำเหมือนกันทุกคน ในสองสัปดาห์แรก เหล่าอาสาสมัครจะได้นอนคืนละ 8.5 ชั่วโมง และอีกสองสัปดาห์ที่เหลือเวลานอนจะลดลงเหลือเพียงแค่ 5.5 ชั่วโมงเท่านั้น

และเมื่อได้สิ้นสุดการทดลองลงในสัปดาห์ที่สี่นั้นพบว่า แม้ว่าน้ำหนักของอาสาสมัครในช่วงอาทิตย์แรกกับอาทิตย์ที่สองนั้นจะไม่แตกต่างกันนัก แต่…ที่น่าสนใจคือ “สัดส่วนของไขมันที่พบว่า สองสัปดาห์แรกไขมันของอาสาสมัครลดลงเฉลี่ย 3.1 ปอนด์ ขณะที่สองสัปดาห์หลัง ซึ่งอาสาสมัครได้นอนเพียงคืนละ 5.5 ชั่วโมง ปริมาณไขมันลดลงเฉลี่ยเหลือเพียง 1.3 ปอนด์”เท่านั้นเอง

Credit >> http://www.shape.in.th

วิธีกินให้น้อยลง

ไม่ว่าเราจะพยายามซักแค่ไหนแล้วก็ตาม บ่อยครั้งเลยที่เรามักจะพบว่า เรามักจะเอื้อมมือไปหยิบขนมมาใส่ปากด้วย เพราะว่ายังมีเหตุผลอื่นๆ อีกที่นอกเหนือไปจากความหิว เราลองมาดูพร้อมกันว่า อะไรคือตัวการกันแน่ที่ไปกระตุ้นประสาทความจนทำให้เรากินแบบไม่บันยะบันยัง และมาหาวิธีที่ดีๆ ในการเอาชนะสาเหตุเหล่านั้น ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

1) คุณมีความหิวตลอดเวลาหรือไม่ ?

การกินมากจนเกินไป เป็นเพียงแค่นิสัยที่แย่ๆ ที่คุณอาจจะสามารถแก้ไขมันได้เหมือนกับนิสัยอื่นๆ และนี่ก็คือวิธีการในการเอาชนะมันค่ะ
- นำอาหารขยะทั้งหลายแหล่ไปทิ้งให้พ้นๆ สายตาคุณ และเลือกกินแต่ธัญพืช ผักสด ผลไม้สด ถั่วต่างๆ นมโยเกิร์ต และเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันแทน
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ยักษ์
- ให้ใช้จานที่มีขนาดเล็ก วางช้อนลงกับจานหลังจากที่ได้ตักอาหารเข้าปากไปแล้ว และให้เคี้ยวอาหารอย่างช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดก่อนจะกลืนมันลงไป

2) คุณมีเวลาในการนอนพักผ่อนพอหรือไม่ ?

ถ้าคุณมีเวลานอนพักผ่อนที่น้อยแล้ว ก็จะทำให้คุณรู้สึกหิวขึ้นมาได้ทุกเมื่อ จนทำให้คุณต้องหาอะไรมาลงท้องเพื่อบรรเทาอาการหิว ปัญหานี้สามารถที่จะจัดการกับมันได้โดย …
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาบ่ายและช่วงเวลาเย็น
- อาบน้ำอุ่นๆ ก่อนที่จะเข้านอน เพื่อให้ร่างกายได้รู้สึกผ่อนคลายและทำให้หลับได้ง่ายขึ้น
- อย่าทำการออกกำลังกายใกล้ๆ ช่วงเวลานอน เพราะมันอาจจะทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานเพิ่มมากขึ้น และจะทำให้คุณหลับไม่ลงได้
- เข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา

3) คุณกินเพื่อที่จะคลายความเครียดหรือไม่ ?

เมื่อคุณมีอาการเครียด ร่างกายของคุณก็จะหลั่งสารคอร์ติซอล ซึ่งจะทำให้ร่างกายสรุปเอาเองว่า มันจะต้องหาอะไรมาลงท้องเพื่อจะได้ผ่อนลายความเครียดมันออกไป และนี่ก็คือวิธีการที่จะเอาชนะปัญหานี้ค่ะ โดย …
- คิดหาวิธีการที่จะลดความเครียดลง ซึ่งในบางทีคุณอาจจะต้องแบ่งงานของคุณเพื่อให้คนอื่นได้ทำบ้าง หรือไม่ก็ทำการประเมินการดำเนินชีวิตของคุณทั้งการดำเนินชีวิตที่บ้านและที่การดำเนินชีวิตที่ทำงานเสียใหม่
- หาเวลาว่างในแต่ละวัน เพื่อที่จะทำการผ่อนคลายความเครียดต่างๆ ให้เป็นเรื่องเป็นราว ด้วยการเล่นโยคะ หรือการทำสมาธิก็เป็นตัวเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง
- การขยับเขยื้อนร่างกายให้มีการเคลื่อนไหว ด้วยการเดินเพียงระยะเวลาแค่ห้านาที ก็ช่วยที่จะช่วยลดระดับของคอร์ติซอลได้

Credit >> http://www.shape.in.th

ความหิวช่วยคุมน้ำหนักคุณได้

โภชนากรซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด กล่าวว่า การใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบของคนยุคนี้ทำให้มองข้ามหรือละเลย “เรื่องเล็กน้อย” ที่มีความสำคัญต่อสุขภาพไปโดยไม่รู้ตัว

ซึ่ง “เรื่องเล็กๆ” ที่ถูกเพิกเฉยหรือไม่สนใจมากที่สุดก็คือ สัญญาณ “ความหิว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการควบคุมน้ำหนัก ทำให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็น “เรื่องใหญ่” และเป็นดาบสองคมอย่างไม่มีใครคาดคิด เพราะมันทำให้เราสับสนและแยกแยะไม่ออกว่า “ความหิว” ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งนั้น เป็น “ความหิวที่ร่างกายต้องการอาหารจริงๆ” หรือ “หิวเพราะแค่อยากกินกันแน่”

ดังนั้น ถ้าไม่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก หรือเข้าคอร์สลดน้ำหนักโดยไม่ตั้งใจ เราต้องฟัง “สัญญาณของความหิว” ของตัวเราเอง เพราะในแต่ละคนจะแสดงปฏิกิริยาของความหิวแตกต่างกันออกไป และเพื่อให้แน่ใจว่า “ความหิว” ที่เกิดขึ้นนั้น เป็น “ความหิวที่เกิดจากความต้องการของร่างกายจริงๆ” หรือ “ความอยากกิน” ก็มีวิธีสังเกตง่ายๆ ดังนี้

1.เมื่อ ขาด “พลังงาน” ร่างกายก็จะเริ่มส่งสัญญาณ “ความหิว” เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะขาดพลังงาน เนื่องจากน้ำตาลในเลือดมีปริมาณต่ำลง ก่อนการรับประทานอาหารมื้อถัดไป มันจะส่งสัญญาณให้เรารู้ผ่านปฏิกิริยาต่างๆ เช่น รู้สึกวิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลียและหน้ามืด แต่สัญญาณเตือนชั้นดีที่สร้างความมั่นใจว่า “ร่างกายขาดพลังงานจริงๆ” คือ “เสียงท้องร้อง”

2.เช็ก ระดับสัญญาณ “หิวจริง” หรือ “อิ่ม” ได้ด้วยการจดบันทึก “อาการของความหิว” ทั้งก่อนและหลังกินเสร็จในทุกมื้อ โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนความหิวหรืออิ่ม ตั้งแต่ 1 ที่เป็นระดับของความหิวมากถึง 10 ซึ่งหมายถึงอิ่มแน่นจนเริ่มไม่สบายตัว การจดบันทึกจะช่วยทำให้เราประเมินได้ว่า จริงๆ แล้วเราควรหยุดกินเมื่อไหร่กันแน่ ซึ่งกว่าเราจะรู้ตัวว่าอิ่มและหยุดกินอาหารได้แล้ว ก็มักจะแน่นท้องทรมานไปแล้ว

3.เรา ควรจะเริ่มกินเมื่อระดับความหิวอยู่ที่ระดับ 3 ถึง 4 ซึ่งกระเพาะอาหารของเราจะร้องเบาๆ นั่นเป็น “สัญญาณ” บอกว่า เราควรเริ่มกินได้แล้ว และควรหยุดเมื่อระดับความหิวอยู่ที่ระดับ 5 หรือ 6 นั่นหมายถึง เรากำลังอิ่มในระดับที่เรียกว่าพอดี แต่หากเราปล่อยให้ความหิวไต่ระดับไปถึง 1 หรือ 2 คือ “หิวจัด” จนตาลายแล้วล่ะก็ เรามักจะเบรกแตกและกินทุกอย่างที่ขวางหน้าจนถึงระดับความอิ่มที่ 9 หรือ 10 ผลคือ อิ่มแน่นจนทรมานทีเดียว

4.”อิ่ม” อร่อยอย่างมีคุณภาพ เมื่อฝึกแยกแยะและวิเคราห์ระดับความหิว-อิ่มแล้ว ให้จำไว้ว่า “กินแค่พออิ่ม” ซึ่งเทคนิคการกินให้อิ่มอย่างง่ายๆ คือฟัง “สัญญาณ” และสังเกตปฏิกิริยาจากร่างกายของเรานั่นเอง เช่น อัตราการเคี้ยวและความเร็วในการกินอาหารจะช้าลง และที่สำคัญควรใส่ใจเรื่องคุณค่าของสารอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละมื้อร่วม ด้วย

อย่างไรก็ตามเราสามารถฝึกทักษะเพื่อการรับรู้และตอบสนองต่อ “ความหิวและความอิ่ม” ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายได้อย่างง่ายๆ โดยใช้เวลา 3-4 วันในการฝึกและสังเกตในช่วงแรก เริ่มจากการบันทึกรายการอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละมื้อ และลองสังเกต “ระดับความหิว” ทั้งก่อนและหลังการกินอาหารว่าอยู่ในระดับไหน เพราะร่างกายของเรามีความฉลาดในการแยกว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการหรือไม่ต้องการ การฝึกฟังเสียง “สัญญาณ” จากภายในร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เราแน่ใจว่าก่อนจะส่งอาหารเข้าปาก เรามั่นใจแล้วว่า “หิวจริงๆ นะ” ไม่ใช่แค่ “อยากกิน” เพราะไม่อย่างนั้น คงต้องเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักกันยาว

Credit >> http://www.shape.in.th

อาหารสำหรับคนอยากหุ่นดี

สำหรับใครที่อยากผอม มีหุ่นดี ไม่อยากอ้วนมักจะหันมาสนใจเรื่องของการรับประทานอาหารกันมากขึ้น โดยเฉพาะการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ

ถ้าพูดถึงอาหารเพื่อสุขภาพกันแล้ว ก็มักจะต้องนึกถึงอาหารพวก “ธัญพืช” ต่างๆ เป็นอันดับแรก โดยเฉพาะพวกธัญพืชเต็มเมล็ด หรือที่เรียกกันว่า โฮลเกรน ซึ่งเป็นธัญพืชที่ยังมีส่วนประกอบต่างๆ อยู่ครบถ้วน ทั้งเนื้อเมล็ด เยื่อหุ้มเมล็ด และจมูกข้าว หรือจริงๆ แล้วก็คือธัญพืชที่ยังไม่ได้ผ่านการขัดสี หรือมีการขัดสีออกน้อยที่สุด ทำให้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โฮลแกรน เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อุดมไปด้วย เส้นใยอาหาร แร่ธาตุ วิตามิน และไฟโตนิวเตรียนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่เรารับประทานโฮลแกรนจึงเป็นผลดีสำหรับสุขภาพ และรับประทานได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่

อาหารเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพในแบบของ “ธัญพืชเต็มเมล็ด” นั้น ทุกวันนี้หาซื้อกันได้ไม่ยากที่เรามักจะเห็นกันได้ทั่วๆ ไป เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เล่ย์ ซีเรียล ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท พาสต้า  ข้าวโพด และลูกเดือย

สำหรับหนุ่มๆ สาวๆ ที่ต้องการมีสุขภาพดี และรักสวยรักงาม การหันมากินอาหารแบบนี้ นอกจากจะได้สุขภาพดีแล้ว ยังสามารถช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สำหรับใครที่อยากสวยและมีหุ่นดีไปพร้อมกันนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องควรทราบก็คือเราต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ โดยเฉพาะในมื้อเช้าห้ามงดอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเพื่อสุขภาพดีและหุ่นส่วนจึงควรเลือกทานอาหารประเภทโฮลเกรน เพราะนอกจากจะทำให้อยู่ท้องแล้ว  พลังงานที่ได้รับยังจะกระจายไปจนถึงตอนเที่ยง พอถึงมื้อเที่ยงเราแค่รับประทานข้าวสักจาน หรือก๋วยเตี๋ยวสักถ้วย แค่นี้ก็จะรู้สึกอิ่มกันแล้ว หลังจากนั้นในช่วงมื้อเย็นควรหาทานอะไรเบาๆ เช่น พวกซุบ ปลาย่าง สลัดผัก จะทำให้รู้สึกสบายไม่อึดอัด สำหรับเด็กๆ ที่รับประทานอาหารประเภทนี้ ยังช่วยไปเสริมสร้างให้มีสมาธิ เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ และที่สำคัญไม่ทำให้เกิด “โรคอ้วน” ขึ้นอย่างแน่นอน

Credit >> http://www.shape.in.th